'ผู้บริหารวอลล์สตรีท' เตือนนักลงทุน เตรียมรับตลาดหุ้นปรับฐานเกิน 10%

ผู้บริหารระดับสูงจากสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในวอลล์สตรีท ออกมาเตือนนักลงทุนให้พร้อมรับมือกับการที่ ตลาดหุ้นอาจจะร่วงลงเกิน 10% ภายใน 12–24 เดือนข้างหน้า แต่ในทางกลับกัน พวกเขามองว่าการปรับฐานครั้งนี้เป็น "สัญญาณที่ดี"สำหรับตลาดในระยะยาวด้วยซ้ำไป
KEY
POINTS
- ผู้บริหารระดับสูงของวอลล์สตรีทเตือนว่าตลาดหุ้นอาจปรับฐานหรือร่วงลงมากกว่า 10%
- สาเหตุหลักมาจากมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับสูง ไม่ใช่ผลประกอบการของบริษัท
- ผู้บริหารมองว่าการปรับฐานครั้งนี้เป็นเรื่องที่ดีและเป็นธรรมชาติของตลาดในระยะยาว
- พวกเขาคาดว่าการปรับฐานอาจเกิดขึ้นภายใน 12-24 เดือนข้างหน้า
- คำแนะนำสำหรับนักลงทุนคือให้อยู่ในตลาดต่อไปและปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสม
ผู้บริหารระดับสูงจากสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในวอลล์สตรีท ออกมาเตือนนักลงทุนให้พร้อมรับมือกับการที่ ตลาดหุ้นอาจจะร่วงลงเกิน 10% ภายใน 12–24 เดือนข้างหน้า แต่ในทางกลับกัน พวกเขามองว่าการปรับฐานครั้งนี้เป็น "สัญญาณที่ดี" สำหรับตลาดในระยะยาวด้วยซ้ำไป
ไมค์ กิตลิน ประธานและซีอีโอของ Capital Group บริษัทจัดการลงทุนชั้นนำ ให้ความเห็นในการประชุมด้านการเงินที่จัดโดย การเงินฮ่องกง (Hong Kong Monetary Authority) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า
“ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังแข็งแกร่งดีอยู่ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ มูลค่าหุ้น (Valuations) ที่ตอนนี้อยู่ในระดับสูง”
เมื่อถูกถามว่าหุ้นตอนนี้ถือว่า ‘ถูก’ ‘เหมาะสม’ หรือ ‘แพงเกินไป’ กิตลินตอบว่า “คนส่วนใหญ่น่าจะเห็นตรงกันว่าอยู่ระหว่าง ‘เหมาะสม’ กับ ‘เท่ามูลค่าหุ้นที่แท้จริงแล้ว’ มากกว่า ‘ถูก’ กับ ‘เหมาะสม’” และเขายังเห็นภาพเดียวกันนี้ในตลาดตราสารหนี้ด้วย
ความเห็นของเขาไปในทิศทางเดียวกับ เท็ด พิก ซีอีโอของ Morgan Stanley และ เดวิด โซโลมอน ซีอีโอของ Goldman Sachs Group Inc. ซึ่งต่างก็คาดว่าตลาดมีโอกาสเจอการเทขายครั้งใหญ่ในไม่ช้า และมองว่าการปรับฐานลงมาเป็น “ส่วนหนึ่งตามธรรมชาติของวงจรตลาด”
พิก ชี้ว่า แม้ตลาดการเงินจะเดินหน้ามาไกลมากแล้ว แต่ก็ยังมี “ความเสี่ยงจากนโยบาย (policy error risk)” ในสหรัฐ และความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ "ตลาดอาจจะดูแพง...แต่ความเสี่ยงในภาพรวม (systematic risk) ก็ดูเหมือนจะลดลง" เขากล่าว พร้อมคาดการณ์ว่าในปี 2026 โฟกัสจะกลับไปอยู่ที่ผลประกอบการของบริษัทแต่ละแห่ง ซึ่งจะเห็นความแตกต่างระหว่างบริษัทที่แข็งแกร่งกับบริษัทที่อ่อนแอชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ ตลาด IPO ทั่วโลกยังคงคึกคัก และนักลงทุนก็กล้าเสี่ยงมากขึ้น
“เราควรจะยินดีด้วยซ้ำ ถ้าตลาดหุ้นมีการปรับฐานลง 10–15% โดยที่ไม่ได้มาจากปัญหาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เพราะมันถือเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพของตลาดเลยทีเดียว” พิกกล่าว
ขณะที่โซโลมอน มองว่า “หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีมูลค่าสูงเต็มที่แล้ว” แต่ตลาดโดยรวมยังไม่ถึงจุดนั้น เขาแนะนำลูกค้าของ Goldman Sachs ให้ อยู่ในตลาดต่อไป ปรับสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตให้เหมาะสม และ อย่าพยายามจับจังหวะตลาด
โซโลมอนทิ้งท้ายว่า การที่ตลาดหุ้นปรับฐาน 10–15% สามารถเกิดขึ้นได้แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจดี และไม่ได้เปลี่ยนทิศทางเงินทุนในระยะยาวหรือโครงสร้างการลงทุนโดยรวม
“มันแค่หมายความว่า ตลาดขึ้นไปแล้วก็ถึงเวลาพักตัว เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสทบทวนและประเมินสถานการณ์กันใหม่” เขาสรุป







