เกิดอะไรขึ้นกับ ‘การคลัง’ อังกฤษ ? ทำไมเกิดกระแส Tax The Super Rich

การคลังของอังกฤษกำลังเผชิญภาวะขาดดุลงบประมาณอย่างหนักจากหลายปัจจัย รัฐบาลจึงมีแนวโน้มที่จะต้องประกาศขึ้นภาษีเพื่อหารายได้เพิ่มเติมและอุดช่องว่างทางการคลัง
KEY
POINTS
- การคลังของอังกฤษกำลังเผชิญภาวะขาดดุลงบประมาณอย่างหนักจากหลายปัจจัย
- รัฐบาลจึงมีแนวโน้มที่จะต้องประกาศขึ้นภาษีเพื่อหารายได้เพิ่มเติมและอุดช่องว่างทางการคลัง
- ภาษีที่อาจถูกปรับขึ้นมุ่งเป้าไปที่ทรัพย์สิน บำนาญ และกำไรจากการลงทุน แทนภาษีหลักที่กระทบคนส่วนใหญ่
- เกิดกระแสเรียกร้องให้เก็บ "ภาษีความมั่งคั่ง" (Wealth Tax) จากกลุ่มคนร่ำรวยโดยเฉพาะ
- รัฐบาลกำลังพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น "ภาษีคฤหาสน์" ซึ่งเป็นการเก็บภาษีจากบ้านที่มีมูลค่าสูง
"เรเชล รีฟส์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหราชอาณาจักร กำลังเผชิญโจทย์ยากในการจัดทำงบประมาณฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าเธออาจต้องประกาศขึ้นภาษีอีก แม้ว่าในงบประมาณปีที่แล้ว เธอเพิ่งเพิ่มการจัดเก็บภาษีไปแล้วกว่า 36,000 ล้านปอนด์ (ประมาณ 47,300 ล้านดอลลาร์) เพื่อสนับสนุนบริการสาธารณะและการขาดดุลทางการคลังที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ทิ้งไว้ ทำให้ชาวอังกฤษอาจต้องเตรียมรับภาระภาษีที่สูงขึ้น ทั้งในส่วนของบำนาญ อสังหาริมทรัพย์ และรายได้ของตนเอง
ทำไม รีฟส์ถึงอาจต้องขึ้นภาษีอีกครั้ง
เหตุผลสำคัญคือสถานะทางการคลังของสหราชอาณาจักรยังขาดดุลอย่างหนัก จากหลายปัจจัย เช่น การยกเลิกนโยบายที่ใช้งบประมาณสูงจนต้องจ่ายเงินคืนให้ประชาชน (Policy U-turns) ต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังต่ำกว่าคาด
นโยบายสำคัญที่ต้องใช้งบเพิ่มเติมจากการยกเลิกนโยบายที่ประกาศไปแล้วมีอยู่ 2 เรื่อง คือการคืนเงินช่วยเหลือค่าเชื้อเพลิงฤดูหนาว (Winter Fuel Payments) ให้ผู้รับบำนาญหลายล้านคน มูลค่า 1,250 ล้านปอนด์และการกลับลำไม่ตัดสวัสดิการผู้พิการ มูลค่า 5,000 ล้านปอนด์
นอกจากนี้ เศรษฐกิจยังได้รับแรงกดดันจากสงครามภาษีของสหรัฐ และผลกระทบจากการขึ้นภาษีเงินเดือนของนายจ้างที่ รีฟส์เคยประกาศไว้ก่อนหน้า ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจและการจ้างงาน
ขณะเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า GDP ของสหราชอาณาจักรจะเติบโตเพียง 1.3% ทั้งในปีนี้และปีหน้า และยังมีอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดในกลุ่มประเทศ G7
‘กฎการคลัง’ และ ‘ช่องว่างงบประมาณ’
รีฟส์ใช้ “กฎเสถียรภาพ” (Stability Rule) เป็นหลักในการบริหารงบประมาณ โดยกำหนดว่ารายจ่ายประจำวันของรัฐบาลต้องมาจากรายได้ภาษีภายในปีงบประมาณ 2029–2030 และการกู้ยืมจะเกิดขึ้นเพื่อนำไปลงทุนเท่านั้น
เดิมทีเธอยังมี “กันชน” (Headroom) อยู่ประมาณ 9,900 ล้านปอนด์ แต่เงินสำรองนี้แทบหายไปหมด จากการกลับลำนโยบายหลายเรื่อง ต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น และการคาดการณ์ผลิตภาพ (Productivity) ที่ลดลง ซึ่งสำนักงานความรับผิดชอบด้านงบประมาณ (OBR) ประเมินว่าอาจสร้างภาระเพิ่มถึง 20,000 ล้านปอนด์
ข้อมูลการคลังล่าสุดยังชี้ว่า การขาดดุลงบประมาณเกินกว่าที่คาดไว้ ทำให้นักเศรษฐศาสตร์หลายรายเชื่อว่า รีฟส์กำลังเผชิญ “ช่องว่างงบประมาณ” หรือหมายถึงเงินที่รัฐบาลต้องหามาเพิ่มเติมเพื่อทำให้งบประมาณสมดุล (Budget Hole) สูงถึง 35,000 ล้านปอนด์ หากต้องการให้การคลังเป็นไปตามเป้าหมายในปี 2029–2030
ภาษีที่อาจถูกปรับขึ้น
ในช่วงหาเสียง พรรคแรงงานให้คำมั่นว่าจะไม่ขึ้นภาษีที่กระทบ “คนทำงาน” ได้แก่ ภาษีเงินได้ (Income Tax), ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีประกันสังคม (National Insurance)
แต่คำสัญญานี้อาจต้องถูกทบทวน เพราะภาษีทั้งสามประเภทนี้รวมกันคิดเป็นเกือบสองในสามของรายได้ภาษีทั้งหมดของประเทศ
หนึ่งในทางเลือกที่ รีฟส์อาจใช้คือการ “ตรึงเพดานภาษีเงินได้” (Income Tax Thresholds) ต่อไปอีก 2 ปี หรืออธิบายอย่างง่ายๆ คือ ปกติรัฐบาลมัก “ขยับ” threshold หรือระดับเงินได้ที่ต้องเสียภาษีให้สูงขึ้นทุกปีตามค่าครองชีพหรือเงินเฟ้อ
แต่ถ้าตรึงไว้ (ไม่ปรับ) ในขณะที่เงินเดือนคนเพิ่มขึ้น นั้นก็หมายความว่า คนจำนวนมากจะ “ขยับขั้นภาษี” ไปโดยอัตโนมัติ
ผลก็คือ ถึงอัตราภาษีจะไม่เปลี่ยน แต่คนกลับต้อง “จ่ายภาษีมากขึ้น” โดยวิธีการนี้จะสามารถระดมรายได้เข้าคลังได้เพิ่มได้ราว 7,500 ล้านปอนด์ ซึ่งวิธีนี้ถูกเรียกว่า “Fiscal Drag” หรือ “Stealth Tax” (ภาษีแบบซ่อนเร้น)
การพิจารณาภาษีเฉพาะด้านและภาษีความมั่งคั่ง
นอกจากภาษีหลักแล้ว รัฐบาลยังพิจารณาปรับภาษีที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน บำนาญ และกำไรจากการลงทุน (Capital Gains) ด้วย รวมถึงแนวทางอื่นที่ถูกเสนอให้พิจารณา เช่น
- เพิ่มอากรการพนันออนไลน์ที่มีความเสี่ยงสูง (คาดว่าจะเก็บได้ 2,000–3,000 ล้านปอนด์)
- จัดเก็บภาษีลาภลอยจากธนาคาร (Windfall Tax on Banks) (คาดว่าจะเก็บได้ราว 3,000 ล้านปอนด์)
- ขยายการเก็บเงินสมทบประกันสังคมให้ครอบคลุมห้างหุ้นส่วนจำกัดและเจ้าของที่ดิน (คาดว่าจะเก็บได้ 4,000 ล้านปอนด์)
- ลดเกณฑ์การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของธุรกิจจาก 90,000 ปอนด์ เหลือ 30,000 ปอนด์ (คาดว่าจะเก็บได้ 2,000 ล้านปอนด์)
จุดยืนต่อ “ภาษีความมั่งคั่ง” (Wealth Tax)
สมาชิกพรรคแรงงานสายซ้ายเรียกร้องให้ รีฟส์ประกาศใช้ “ภาษีความมั่งคั่ง” แบบใหม่ ที่เก็บรายปีจากสินทรัพย์สุทธิของบุคคล แต่หลายฝ่ายมองว่าการจัดเก็บลักษณะนี้ทำได้ยากในทางปฏิบัติ เพราะหน่วยงานภาษียังขาดข้อมูลที่จำเป็นในการประเมินรายได้
รีฟส์เองก็ยืนยันว่าจะไม่ประกาศใช้ภาษีความมั่งคั่งใหม่ในงบประมาณฤดูใบไม้ร่วงนี้ โดยให้เหตุผลว่า “เรามีภาษีสำหรับคนรวยอยู่แล้ว” เช่น ภาษีกำไรจากทุนและภาษีมรดก แม้ภาษีแบบนี้จะได้รับความนิยมในหมู่ชาวอังกฤษ แต่เธอก็ตระหนักว่ามันอาจทำให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลเพิ่งปฏิรูประบบยกเว้นภาษีสำหรับผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรในต่างประเทศ (Non-Dom System) ไปก่อนหน้านี้
การพิจารณา “ภาษีคฤหาสน์” และภาษีอสังหาริมทรัพย์
อีกแนวทางหนึ่งที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคือ การใช้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วยปรับสมดุลทางการคลัง วิธีหนึ่งคือการเพิ่มเกณฑ์การเก็บภาษี Council Tax สำหรับบ้านราคาสูง (อาจเริ่มจากบ้านที่มีมูลค่าเกิน 1 ล้านปอนด์)
อีกทางคือการยกเลิกการยกเว้นภาษีกำไรจากทุน (Capital Gains Tax relief) สำหรับบ้านหลักที่มีมูลค่าเกิน 1.5 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นการสร้าง “ภาษีคฤหาสน์” ในทางปฏิบัติ
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่านโยบายนี้อาจทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัว และอาจสร้างแรงต้านทางการเมือง เพราะผู้ได้รับผลกระทบบางกลุ่ม เช่น ผู้รับบำนาญที่อาศัยอยู่ในบ้านมูลค่าสูงแต่มีรายได้จำกัด อาจถูกมองว่าไม่เป็นธรรม
ทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการขึ้นภาษี
อีกทางเลือกหนึ่งคือการผ่อนคลายกฎการคลัง หรือการลดรายจ่ายของรัฐ แต่ทั้งสองแนวทางนี้ก็ไม่ง่ายเช่นกัน
การผ่อนคลายกฎการคลังอาจกระทบความเชื่อมั่นของตลาด เหมือนที่เกิดขึ้นกับ “มินิบัดเจ็ต” ของ ลิซ ทรัสส์ ในปี 2022 ถึงอย่างนั้น รีฟส์ก็มีแผนลดจำนวนครั้งที่สำนักงานความรับผิดชอบด้านงบประมาณ (OBR) ประเมินผลงานของเธอลงเหลือปีละครั้ง เพื่อลดความไม่แน่นอนและแรงต้านจากประชาชน
ส่วนการลดรายจ่ายภาครัฐก็น่าจะถูกต่อต้านจาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคแรงงาน ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทาง “รัดเข็มขัด”
ทางเลือกที่ดูเป็นไปได้มากกว่าคือ การตัดงบประมาณที่วางแผนไว้แต่ยังไม่ได้จัดสรรในปี 2029–2030 มูลค่า 7,000 ล้านปอนด์ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เรียกแนวทางนี้ว่า “นิยายทางการคลัง” หรือ Fiscal Fiction หรือนโยบายที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
ท้ายที่สุด รีฟส์อาจต้องเลือกแนวทางผสมผสาน ทั้งการขึ้นภาษีบางประเภท การออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ปรับกฎการคลัง และควบคุมรายจ่ายบางส่วนไปพร้อมกัน







