วิกฤติ ‘อสังหาฮ่องกง’ สะเทือนบัลลังก์ 4 ตระกูลใหญ่ รุ่นต่อไปต้องพิสูจน์ฝีมือ

วิกฤติ ‘อสังหาฮ่องกง’ สะเทือนบัลลังก์ 4 ตระกูลใหญ่ รุ่นต่อไปต้องพิสูจน์ฝีมือ

วิกฤติ ‘อสังหาฮ่องกง’ สะเทือนบัลลังก์มหาเศรษฐี ' 4 ตระกูลใหญ่' ทายาทรุ่นต่อไป ต้องพิสูจน์ฝีมือสืบทอดมรดก ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซา ปมขัดแย้ง 'เครือญาติ' และ รัฐบาลจีนที่เข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น

ในอดีต “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” เป็นปัจจัยหลักที่ช่วยให้บรรดามหาเศรษฐีในฮ่องกงก้าวขึ้นเป็นกลุ่มบุคคลที่ “ร่ำรวย” ที่สุดในโลก แต่สถานการณ์ในตลาดอสังหาฮ่องกงตอนนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก  โดยราคาบ้านในฮ่องกงปรับตัวลดลงประมาณ 30% นับตั้งแต่ปี 2564  อัตราการว่างของพื้นที่สำนักงานอยู่ที่ประมาณ 17% ซึ่งเข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และความท้าทายที่หนักหน่วงที่สุดคือการที่ “จีน” เข้ามาคุมอำนาจเหนือฮ่องกงอย่างเข้มงวด และมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างมาก 

วิกฤติ ‘อสังหาฮ่องกง’ สะเทือนบัลลังก์ 4 ตระกูลใหญ่ รุ่นต่อไปต้องพิสูจน์ฝีมือ

หากปัญหาในปัจจุบันทวีความรุนแรงขึ้น ผลกระทบที่ตามมาจะรุนแรงและชัดเจนมาก เหล่า “ทายาท” ของตระกูลอภิมหาเศรษฐีเหล่านี้อาจต้อง “ดิ้นรน” อย่างหนัก  เพื่อรับมือกับกระแสการเปลี่ยนแปลง  เพื่อให้สามารถสร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยทำได้

‘4 ตระกูลใหญ่’ อภิมหาเศรษฐีฮ่องกง

ปัจจุบัน "4 ยักษ์ใหญ่" แห่งวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกง กำลังเผชิญกับอุปสรรคทางเศรษฐกิจมหภาคและการเมืองที่สำคัญ ในขณะที่หลายตระกูลกำลังเข้าสู่ช่วงของการเปลี่ยนผ่านผู้นำระหว่างรุ่น

1.ตระกูลหลี่ กาชิง มหาเศรษฐีวัย 97 ปี ที่ถูกขนานนามว่า "ซูเปอร์แมน" จากความเฉียบแหลมทางธุรกิจ มีทรัพย์สินรวม 43,400 ล้านดอลลาร์ตามการจัดอันดับของ Bloomberg Billionaires Index

วิกฤติ ‘อสังหาฮ่องกง’ สะเทือนบัลลังก์ 4 ตระกูลใหญ่ รุ่นต่อไปต้องพิสูจน์ฝีมือ

2.ตระกูลกัวะ (Kwok)  เจ้าของอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ซุนหงไค (Sun Hung Kai Properties) มีทรัพย์สินรวมอยู่ในระดับเดียวกันกับตระกูลหลี่ กาชิง

3.ตระกูลเฉิง เจ้าของบริษัท New World Development  มีทรัพย์สินรวม 33,200 ล้านดอลลาร์ 

4.ตระกูลหลี่ เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์  เฮนเดอร์สัน แลนด์ (Henderson Land) 

นอกจาก 4 ตระกูลยักษ์ใหญ่แล้ว ตระกูลที่มีอิทธิพลรองลงมาก็กำลังเผชิญกับบททดสอบที่ท้าทายไม่แพ้กัน ช่น ตระกูลหลิวเจ้าของบริษัท Chinese Estates Holdings Ltd. และตระกูลหยาง แห่งบริษัท Emperor International Holdings Ltd.

ตลาด ‘อสังหา’ ฮ่องกงดิ่ง ฉุดความมั่งคั่งคนรวย

 ในปัจจุบัน ไม่มีใครสามารถสะท้อนถึงความผันผวนและชะตากรรมของกลุ่มผู้นำธุรกิจใหญ่ทั้งสี่แห่งฮ่องกงได้ดีเท่ากับ “ตระกูลเฉิง”  เป็นตระกูลที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลมากในฮ่องกง  ซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์ตึกสูงและพัฒนาเมืองฮ่องกงมานานกว่าครึ่งศตวรรษ  ทำให้ทายาทคนสำคัญในรุ่นที่ 3 ของตระกูลนี้กำลังเผชิญกับความยากลำบากอย่างยิ่ง ในการสืบทอดมรดกทางธุรกิจอันยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษสร้างไว้

วิกฤติ ‘อสังหาฮ่องกง’ สะเทือนบัลลังก์ 4 ตระกูลใหญ่ รุ่นต่อไปต้องพิสูจน์ฝีมือ ตระกูลเฉิงกำลังเผชิญกับปัญหาทาง “การเงิน” อย่างหนัก บริษัทเรือธงอย่าง New World Development กำลังเผชิญกับหนี้สินที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence ระบุว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของบริษัทได้พุ่งสูงขึ้นไปอยู่ที่ 96% เมื่อปลายปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับ 40% ในช่วงกลางปี 2561  ราคาหุ้นร่วงลงฉุดมูลค่าบริษัทลดลงไปประมาณ 80% ภายในระยะเวลาเพียง 6 ปีอย่างหนัก บริษัทมีผลขาดทุนต่อเนื่องมา 2 ปีแล้ว

  วิกฤติ ‘อสังหาฮ่องกง’ สะเทือนบัลลังก์ 4 ตระกูลใหญ่ รุ่นต่อไปต้องพิสูจน์ฝีมือ

ปัจจุบัน New World Development กำลังพยายามขายโครงการขนาดใหญ่อย่าง “11 Skies”  ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่มีขนาดพื้นที่มหาศาลถึง 3.8 ล้านตารางฟุต มีมูลค่าการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ ในพื้นที่ใกล้สนามบินนานาชาติฮ่องกง และอสังหาริมทรัพย์หรูอื่น ๆ เพื่อแก้ไขสถานการณ์

ทว่าตอนนี้ 11 Skies กำลังประสบปัญหา เนื่องจากมีผู้เช่าที่ลงทะเบียนไว้ค่อนข้างน้อย จนทำให้กำหนดการเปิดศูนย์การค้าถูกเลื่อนออกไป จากเดิมที่คาดว่าจะเปิดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ถูกเลื่อนไปเป็นอย่างน้อยกลางปีหน้า แหล่งข่าวระบุว่า ขณะนี้บริษัทกำลังพยายามเจรจาเพื่อลดภาระค่าเช่าที่ต้องจ่ายให้กับสำนักงานท่าอากาศยานฮ่องกงด้วย

นี่ไม่ใช่ความท้าทายเดียวที่ตระกูลเฉิงต้องเผชิญปัญหาจากความผันผวนของเศรษฐกิจในปี 2561 บริษัท Goshawk Aviation ซึ่งนำโดยไบรอัน เฉิง ได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ด้วยการซื้อเครื่องบินพาณิชย์หลายสิบลำ มูลค่าสูงถึง 11,400 ล้านดอลลาร์

หลังจากนั้นไม่นาน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกชะลอตัว จากการประท้วงทางการเมืองในฮ่องกง และการระบาดของโควิด-19 สุดท้าย บริษัท Goshawk ก็ต้องถูกขายไปในราคาเพียง 6,700 ล้านดอลลาร์ ในปี 2565 ซึ่งยังไม่เทียบเท่ากับต้นทุนราคาเครื่องบินพาณิชย์

นอกจากนี้ บริษัท Chow Tai Fook Jewellery Group Ltd. ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกเครื่องประดับรายใหญ่ที่สุดของจีน ที่มี โซเนีย เฉิง  บุตรสาวของเฮนรี่ เฉิง ร่วมบริหารงานด้วยก็กำลังเผชิญกับความท้าทาย จากราคาทองคำที่ผันผวน การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ซบเซาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์เครื่องประดับระดับไฮเอนด์ในประเทศ ทำให้ยอดขายจากร้านเดิมลดลงถึง 19.4% ในจีนแผ่นดินใหญ่ และ 26.1% ในฮ่องกงและมาเก๊า ในปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งบริษัท ธุรกิจเครื่องประดับ Chow Tai Fook Jewellery  , ธุรกิจอสังหา New World  และ ธุรกิจประกันภัย CTF Services  ต่างอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของบริษัทลงทุนของตระกูลเฉิง  (Chow Tai Fook Enterprises ) ทำได้เพียงระบุผ่านอีเมลว่า ทีมผู้บริหารและคณะกรรมการบริหารของทุกฝ่าย มุ่งมั่นที่จะรักษามาตรฐานการกำกับดูแลกิจการในระดับสูงสุด เพื่ออนาคตระยะยาวของบริษัทและเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น

ผู้นำตัดสินใจผิดทาง สู่ความผิดพลาดทางธุรกิจ 

อาณาจักรธุรกิจของตระกูลเฉิงมี "กฎเหล็ก” ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นั่นคือ ห้ามปฏิเสธหรือขัดแย้งกับเจ้านายโดยเด็ดขาด

ด้วยเหตุนี้ เมื่อ “เอเดรียน  เฉิง” บุตรชายคนโตของผู้นำตระกูล ได้เสนอแผนธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และทะเยอทะยานอย่างมาก นั่นคือการสร้าง "11 Skies"  ซึ่งอาจเป็นโครงการที่ใหญ่เกินไป ผู้บริหารระดับรอง ๆ ลงมาจึงไม่มีใครกล้าแสดงความไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้เลย  

การพึ่งพาความคิดเห็นหรือความต้องการส่วนตัวของผู้ก่อตั้งตระกูลได้นำไปสู่ความผิดพลาดทางธุรกิจที่สร้างความเสียหายอย่างมาก 

ในปี 2561  จาซินโต ตง ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทลงทุนอสังหาริมทรัพย์ Gale Well Group ใช้เงินเกือบ 100 ล้านดอลลาร์  เพื่อซื้อพื้นที่ชั้นหนึ่งของอาคาร The Center ตึกระฟ้าที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกง เพียงเพราะเป็นที่ตั้งของคลินิกทันตกรรมประจำของน้องสาวเขา ปัจจุบัน มูลค่าทรัพย์สินในอาคารดังกล่าวลดลงมากถึง 50% ในบางชั้น ทำให้เร็ว ๆ นี้  ต้องลดค่าเช่าลงถึง 36% และกลายเป็นหนึ่งในเศรษฐีจำนวนมากที่กำลังขายบ้านของตัวเอง เพื่อระดมเงินสดหรือสภาพคล่องในปีนี้

เรย์มอนด์ เฉิง นักวิเคราะห์อิสระและอดีตหัวหน้าฝ่ายวิจัยอสังหาริมทรัพย์จีนของ CGS International Securities ฮ่องกงมองว่า การแก้ปัญหาสถานการณ์ที่เหล่าตระกูลใหญ่เผชิญความท้าทายอาจใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้จัดการระดับสูงเหล่านั้นเป็นสมาชิกคนสำคัญของครอบครัว ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดจากโครงสร้างการบริหารที่ผูกติดอยู่กับ “เครือญาติ”

ความยิ่งใหญ่ที่เต็มไปด้วย 'ปมขัดแย้ง'

โวดีน อิงแลนด์ นักประวัติศาสตร์และผู้เขียนหนังสือ Fortune's Bazaar: The Making of Hong Kong มองว่าสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับธุรกิจครอบครัว คือมันไม่ใช่แค่เรื่องราวทางธุรกิจที่เกี่ยวกับตัวเลขเท่านั้น แต่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ สะท้อนว่าปัญหาทางธุรกิจที่เกิดขึ้นมักจะเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์และความรู้สึกส่วนตัวภายในครอบครัว

ความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในครอบครัวและเครือญาติของตระกูลกัวะเคยเกิดความบาดหมางกันในช่วงปลายทศวรรษ 2000 ถึงขั้นที่กวง ซิวฮิง ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลในขณะนั้น และบุตรชายอีก 2 คนคือ โทมัส และ เรย์มอนด์ ได้ร่วมกันขับไล่ วอลเตอร์ ซึ่งเป็นพี่ชายคนโต ออกจากตำแหน่งประธานบริษัท 

หยู จาก Fung Yu Trust Service มองว่า "หลายทศวรรษที่ผ่านมา กลยุทธ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงนั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา คุณประมูลที่ดินจากรัฐบาล คุณสร้างมันขึ้นมาเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด แล้วคุณได้ประโยชน์ไปตามวัฏจักรขาขึ้น"

แต่ทว่าการขยายตัวของ New World ในช่วงที่ผ่านมาได้ชนเข้ากับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ จึงกลายเป็นแรงกดดันผู้นำรุ่นใหม่ในการสร้างการเติบโต ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างในครอบครัว และการสืบทอดรูปแบบธุรกิจเดิม ๆ ที่อาจไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันอีกต่อไป

ยักษ์ล้ม กระทบ ‘อสังหาริมทรัพย์ฮ่องกง’

แกรี่ อึ้ง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Natixis กล่าวเตือนว่า "หาก New World ไม่สามารถหาทางออกได้ อาจส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์และระบบธนาคารของฮ่องกง" เพราะแรงกดดันด้านสภาพคล่อง อาจบังคับให้ New World ต้องขายอสังหาริมทรัพย์ ทั้งบ้านและอาคารพาณิชย์ในราคาที่ต่ำลง การลดราคาขายนี้จะทำให้ความสามารถของนักพัฒนารายอื่น ๆ ในการชำระหนี้ด้วยการขายสินทรัพย์ตามราคาตลาดที่ตกต่ำลง

ในภาพรวมระดับมหภาค สถานการณ์นี้จะชะลอการฟื้นตัวของราคาอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนที่ตลาดรอคอยมานาน และยังกระทบต่อการประเมินมูลค่าหลักประกันอสังหาริมทรัพย์ ในระบบธนาคารด้วย

 

อ้างอิง Bloomberg