'สี จิ้นผิง' ส่งสัญญาณถึงเอเชีย 'ซัพพลายเชน' ต้องเหมือนเดิม

สัญญาณแรกจากปากผู้นำจีน 'สี จิ้นผิง' หลังประชุมซัมมิทกับทรัมป์ เรียกร้องประเทศในเอเชีย 'รักษาเสถียรภาพห่วงโซ่อุปทาน' ย้ำ 'ยิ่งโลกปั่นป่วน ยิ่งต้องร่วมมือกัน'
เพียงหนึ่งวันหลังจากที่จีนบรรลุข้อตกลงลดภาษีศุลกากรกับสหรัฐ ล่าสุดประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ได้เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสนับสนุนการค้าเสรี และ "ยังคงร่วมกันรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทาน"
“ยิ่งโลกเผชิญความปั่นป่วนมากเท่าใด เรายิ่งต้องร่วมมือกันมากขึ้นเท่านั้น” ปธน.สี ระบุกับสื่อทางการจีนระหว่างการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่เกาหลีใต้
ในการประชุมเอเปคครั้งนี้ ปธน.สีได้พบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019 ทั้งสองประเทศได้บรรลุความเห็นชอบให้ผ่อนปรนภาษีศุลกากร การควบคุมการส่งออก รวมถึงประเด็นอื่นๆ เป็นเวลา 1 ปี สหรัฐลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนลง 10% ขณะที่ปักกิ่งตกลงอนุญาตให้ส่งออกแร่หายาก (แรร์เอิร์ธ) ทำให้ความสัมพันธ์ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ทางการค้ากันก่อนหน้านี้เริ่มผ่อนคลายลง
ทรัมป์เดินทางกลับสหรัฐในวันพฤหัสบดี ขณะที่สีอยู่ต่อเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดดังกล่าว และในสุนทรพจน์ล่าสุดผู้นำจีนได้ย้ำมุมมองว่า โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษ แต่จีนยังคงเป็นผู้ "มอบโอกาสระดับโลก" ท่ามกลางความไม่มั่นคงและไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ซีเอ็นบีซีระบุว่า แม้ปธน.สีจะไม่ได้เอ่ยถึง "สหรัฐ" หรือ "ภาษี" โดยตรง แต่เขาก็ได้เสนอความร่วมมือ 5 ประการในที่ประชุมเอเปค ได้แก่
- การปกป้องระบบการค้าพหุภาคี
- การสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง
- การรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทาน
- การส่งเสริมการค้าสีเขียวและดิจิทัล
- การพัฒนาที่ครอบคลุมและทั่วถึง
ผู้นำจีนเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ประเทศต่างๆ จะต้อง “เชื่อมโยงและขยายห่วงโซ่อุปทานร่วมกัน" มากกว่าจะตัดขาดจากกัน และกล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดจีนจะยังคงเปิดกว้างต่อธุรกิจต่างชาติ และจะเดินหน้า "สร้างโอกาสใหม่ๆ” ให้กับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลกต่อไป
ท่าทีนี้นับว่าสวนทางกับนโยบายของสหรัฐที่มุ่งดึงฐานการผลิตกลับประเทศ (reshoring) ขณะที่สีได้กล่าวระหว่างการพบปะกับทรัมป์ว่า “การพัฒนาและการฟื้นฟูของจีน เดินควบคู่ไปกับวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีทรัมป์ในการ ‘ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง’ (Make America Great Again)”
ทั้งนี้ ตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทจีนได้ขยายการผลิตอย่างต่อเนื่องจนทำให้จีนมีสัดส่วนราว 27% ของมูลค่าการผลิตโลกสุทธิ แต่เมื่อค่าแรงในจีนและอัตราภาษีเพิ่มสูงขึ้น โรงงานจีนจำนวนมากได้ย้ายการผลิตไปตั้งในประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ขณะเดียวกันอุปสงค์ภายในภูมิภาคก็เติบโตขึ้นตามไปด้วย
ด้านสหรัฐนั้น ทรัมป์พยายามใช้มาตรการภาษีและนโยบายอื่นๆ เพื่อจูงใจให้บริษัทต่างๆ ย้ายโรงงานกลับประเทศ รวมถึงมาตรการภาษีชุดใหม่ที่ประกาศในปีนี้ โดยมีเป้าหมายลดการส่งออกสินค้าจีนผ่านประเทศที่สาม (transshipment)
นับตั้งแต่เกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนรอบแรกเมื่อราว 7 ปีก่อน ภูมิภาค "อาเซียน" ได้กลายเป็น "คู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีน" แซงหน้าสหภาพยุโรป (อียู) ไปแล้ว
รายงานของโรเดียม กรุ๊ปที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีระบุว่า "เอเชีย" เป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของจีน ในแง่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา รองลงมาคือ "แอฟริกา" และ "ยุโรป" โดยบริษัทจีนประกาศการลงทุนในเอเชียรวม 1.54 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 โดยครอบคลุมดีลการลงทุนตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงวัตถุดิบสำหรับผลิตแบตเตอรี่
ที่มา: CNBC







