ทรัมป์-สี ตกลงสงบศึก ซื้อเวลาเพื่อช่วงชิงอำนาจในศึกที่ใหญ่กว่า

ทรัมป์-สี ตกลงสงบศึก ซื้อเวลาเพื่อช่วงชิงอำนาจในศึกที่ใหญ่กว่า

นักวิเคราะห์ชี้ข้อตกลงพักรบสงครามการค้าของทรัมป์-สี เพียงเพื่อซื้อเวลาเพื่อช่วงชิงอำนาจในศึกที่ใหญ่กว่า ขณะสองชาติมหาอำนาจดำเนินกลยุทธ์ลดพึ่งพากันทางเศรษฐกิจ

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ออกบทวิเคราะห์ข้อตกลงชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯ และจีน กับความหมายต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลก

เมื่อวันพฤหัสดบี (30 ต.ค.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ปรากฏตัวออกมาจากการประชุมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับกล่าวว่าการพูดคุยในครั้งนี้เป็น “การสนทนาที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง”

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงสงบศึกเป็นเวลา 1 ปีที่ลงนามกันเมื่อวันพฤหัสบดีที่ประเทศเกาหลีใต้ มีแนวโน้มว่าจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกเท่านั้น โดยที่ยังไม่ได้แก้ไขความขัดแย้งที่เป็นรากฐานสำคัญ ทั้งสองฝ่ายต่างซื้อเวลาเพื่อลดการพึ่งพากันในด้านยุทธศาสตร์มากขึ้น และข้อตกลงนี้เองที่สะท้อนให้เห็นว่าจีนแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดนับตั้งแต่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งครั้งแรก

รายละเอียดของข้อตกลงและจุดยืนของแต่ละฝ่าย

การตัดสินใจของทรัมป์ในการลดภาษีเฟนทานิลและขยายข้อตกลงสงบศึกที่มีอยู่เกี่ยวกับภาษีตอบโต้ จะทำให้สินค้าหลายรายการยังต้องเผชิญกับภาษีประมาณ 47% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำพอให้ฐานการผลิตขนาดใหญ่ของจีนยังคงสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคได้ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ สหรัฐฯ ยอมระงับกฎที่จะขยายข้อจำกัดต่อบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำ ซึ่งส่งสัญญาณว่าการควบคุมแร่หายากของจีนอาจเป็นปัจจัยที่จำกัดการออกมาตรการควบคุมการส่งออกใหม่ของสหรัฐฯ ได้ ซึ่งจีนเองต้องการเรื่องนี้มานานแล้ว

“จีนยอมอ่อนข้อไปบ้าง แต่พลวัตที่ชัดเจนคือการที่คำขู่ของจีนทำให้สหรัฐฯ ยอมถอยจากมาตรการควบคุมที่เสนอไว้หลายข้อ” สก็อตต์ เคนเนดี ที่ปรึกษาอาวุโสแห่ง Center for Strategic and International Studies ในกรุงวอชิงตันกล่าว “สี จิ้นผิง ได้สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับระบบเศรษฐกิจของจีนและการผลักดันสู่ความเป็นผู้นำระดับโลก”

ทรัมป์ได้แต้มจากข้อตกลงในการกลับมาขายถั่วเหลืองและแร่หายากอีกครั้ง ซึ่งช่วยแก้ไขจุดอ่อนทางการเมืองและเศรษฐกิจที่สำคัญ ข้อตกลงขายกิจการ TikTok ของ ByteDance ในสหรัฐฯ ยังเปิดโอกาสให้ทรัมป์นำไปอวดกับกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งวัยรุ่นว่า เขาคือผู้ที่ทำให้แอปวิดีโอยอดนิยมนี้ยังคงอยู่ และกลุ่มสายเหยี่ยวในกรุงวอชิงตันก็โล่งใจที่ทรัมป์ไม่อนุญาตให้จีนเข้าถึงชิป AI ของ Nvidia หรืออ่อนข้อในเรื่องการสนับสนุนไต้หวัน

ข้อตกลงนี้… แค่ซื้อเวลา?

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ในเชิงโครงสร้างอย่างที่ทรัมป์เคยให้สัญญาว่าจะแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และสำหรับตลาดที่ต้องการหลีกหนีการตอบโต้ไปมาที่ไม่สิ้นสุดและความไม่แน่นอนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผลของการประชุมครั้งนี้จึงดูเหมือนจะเป็นเพียงการหยุดพักชั่วคราวในศึกชิงความเป็นใหญ่ที่อาจยืดเยื้อไปอีกหลายปี

“ผมไม่คิดว่าคุณจะได้เห็นการแยกขาด (decoupling) อย่างแท้จริง แต่จะเป็นการแยกขาดเชิงยุทธศาสตร์” รอเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ หัวหน้าคณะเจรจาการค้าของทรัมป์กับจีนในสมัยแรก ให้สัมภาษณ์กับทีวีบลูมเบิร์ก  ระหว่างการประชุมสุดยอด “เรื่องนี้จะคงอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน หรืออาจสักปีหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นเราก็จะต้องกลับมาดูใหม่อีกครั้ง”

ทรัมป์เองก็พูดทำนองเดียวกันระหว่างเดินทางกลับจากการประชุมที่ปูซานที่อยู่ใกล้กับที่ผู้นำกำลังรวมตัวกันในเวที APEC โดยกล่าวว่าเขาจะไปเยือนจีนในเดือนเมษายน และสี จิ้นผิงจะเดินทางไปยังสหรัฐฯ หลังจากนั้น

“เรามีข้อตกลงแล้ว หลังจากนี้ ทุกปีเราจะเจรจาข้อตกลงใหม่” ทรัมป์บอกกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน เขายังกล่าวว่า คาดว่าจะ “ต่อเวลาข้อตกลงนี้ต่อไปให้เป็นปกติ”

ทรัมป์ดูพอใจกับผลการประชุม โดยเขียนในโซเชียลมีเดียว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร ช่วยแก้ไขวิกฤตเฟนทานิล และอาจส่งผลให้เกิดข้อตกลงด้านพลังงานที่ส่งเสริมเศรษฐกิจสหรัฐฯ

“ข้อตกลงที่บรรลุในวันนี้จะนำความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงมาสู่ชาวอเมริกันนับล้านคน” เขาโพสต์ไว้

สำหรับตลาดการเงินเอง ดูเหมือนจะไม่ประทับใจนัก ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหุ้นสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงไม่มากในช่วงเปิดตลาดนิวยอร์ก ขณะที่ดัชนี CSI 300 ของจีนปิดตลาดลดลง 0.8%

“เราเคยเห็นรูปแบบนี้มาแล้ว: บรรยากาศมองโลกในแง่ดี แต่ไม่มีการดำเนินการต่อเนื่อง” ชารู ชานานา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของ Saxo Markets ในสิงคโปร์กล่าว “การประชุมนี้ดูเหมือนมีสัญญาณเชิงบวกทุกอย่าง แต่สิ่งที่ตลาดต้องการจริงๆ คือแถลงการณ์ร่วมบางอย่างที่เปลี่ยนความคาดหวังให้เป็นความเชื่อมั่น”

ระยะยาว: สงครามเย็นทางเศรษฐกิจ?

ในขณะที่การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ กับจีนทวีความรุนแรงขึ้นตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ข้อตกลงนี้ดูเหมือนจะออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงหายนะร่วมกัน มากกว่าที่จะหาทางผสานเศรษฐกิจโดยลดข้อจำกัดด้านความมั่นคงและเอื้อต่อการลงทุนข้ามพรมแดน

ทรัมป์ใช้โอกาสเยือนเอเชียครั้งนี้เพื่อกระชับสัมพันธ์กับพันธมิตรสำคัญอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ พร้อมกับดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเรือและแร่หายากซึ่งจะทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการเจรจากับสี จิ้นผิงในปีหน้า

ขณะที่จีนเองก็กำลังเดินหน้าเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ในเทคโนโลยีหลัก พรรคคอมมิวนิสต์จีนเพิ่งเปิดแผน 5 ปีฉบับใหม่ที่เน้นสร้างความก้าวหน้าในเทคโนโลยี โดยเฉพาะในด้านชิปขั้นสูง เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ไม่ขึ้นกับสหรัฐฯ

“แน่ใจได้เลยว่า สองประเทศนี้กำลังห่างเหินกันมากขึ้น และต่างเร่งสร้างระบบเศรษฐกิจอิสระของตนเอง” สตีเฟน เจน ซีอีโอของ Eurizon SLJ Capital เขียนในบันทึกถึงลูกค้าหลังการประชุม

ชัยชนะระยะสั้น… แต่ปัญหารากลึกยังอยู่

ชัยชนะของทรัมป์จากข้อตกลงนี้อาจเป็นผลกำไรทางการเมืองในระยะสั้น การกลับมาซื้อสินค้าเกษตรของจีน เช่น ถั่วเหลือง จะช่วยดึงคะแนนเสียงจากกลุ่มเกษตรกร ส่วน TikTok ก็เป็นสิ่งที่ทรัมป์สามารถนำไปเสนอต่อกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งวัยรุ่นในช่วงการเลือกตั้งกลางเทอมปีหน้า

แต่แทบไม่มีสัญญาณว่าข้อตกลงเมื่อวันพฤหัสบดีจะช่วยลดความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างสองประเทศ หรือแก้ไขข้อกังวลเรื่องเงินอุดหนุนอุตสาหกรรมของจีนแต่อย่างใด

การลดภาษีเฟนทานิลของสหรัฐฯ ลง 10% จะส่งผลสำคัญต่อจีนและส่วนที่เหลือของโลก ตามการวิเคราะห์ของ Bloomberg Economics โดยหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนอื่น อัตราภาษีโดยเฉลี่ยของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนจะลดลงจาก 40.8% เหลือ 30.8%

การยกเลิกกฎเกี่ยวกับบริษัทในเครือถือเป็นการตอบสนองต่อข้อร้องเรียนเรื่องกฎระเบียบที่ยุ่งยาก แต่จะยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ที่เชื่อว่าจีนใช้องค์กรซับซ้อนเพื่อหลบเลี่ยงกฎระเบียบของสหรัฐฯ ในการเข้าถึงเทคโนโลยีที่อ่อนไหว

“จุดอ่อนของอเมริกา”

ในศึกที่ใหญ่กว่า จีนดูมั่นใจ ทรัมป์หยุดบังคับใช้กฎควบคุมบริษัทในเครือ นับเป็นครั้งที่สองที่สี จิ้นผิงใช้ไพ่แร่หายากกดดันให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องถอย หลังจากครั้งแรกที่สามารถโน้มน้าวให้ลดภาษีจากระดับสูงสุด 145%

ตามกฎส่งออกของสหรัฐฯ ที่ออกเมื่อเดือนก่อน บริษัทในเครือที่ถูกขึ้นบัญชีดำและมีสัดส่วนถือหุ้นอย่างน้อย 50% จะต้องถูกควบคุมเช่นเดียวกับบริษัทแม่ ซึ่งจะขยายขอบเขตข้อจำกัดไปถึง 20,000 บริษัท เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 15 เท่า ตามบันทึกของมาร์ติน โชเชมปา นักวิจัยอาวุโสแห่งสำนักวิจัย Peterson Institute for International Economics ในกรุงวอชิงตัน

ถู ซินฉวน อดีตที่ปรึกษากระทรวงพาณิชย์จีนกล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายต่างถอยคนละก้าวในวันพฤหัสบดี เพราะต่างก็ไม่อาจทนรับความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจไหว ในขณะเดียวกัน การควบคุมแร่หายากของจีนก็เป็น “ไพ่ตาย” ที่จีนไม่กล้าใช้ในอดีต

“เราบอกไม่ได้ว่าไพ่ใบนี้จะใช้ได้ตลอดไป ไม่มีใครตอบได้ แต่ตอนนี้ เราจับจุดอ่อนของอเมริกาไว้ได้แล้ว” เขากล่าว