โฟล์คสวาเกน ‘ขาดทุนยับ’ สูงเกือบ 50,000 ล้านบาท

โฟล์คสวาเกน ‘ขาดทุนเกือบ 50,000 ล้านบาท’ จากผลกระทบของภาษีทรัมป์ และการปรับกลยุทธ์ของปอร์เช่ ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายรวมทะลุ 2.8 แสนล้านบาท
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า บริษัทรถโฟล์คสวาเกน (Volkswagen) “ขาดทุนจากการดำเนินงาน” 1,300 ล้านยูโร หรือเกือบ 50,000 ล้านบาท ในไตรมาสที่สาม โดยได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่เกิดจากภาษีศุลกากรของสหรัฐ และการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ของบริษัทลูก “ปอร์เช่” ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง
โดยรวมแล้ว ต้นทุนจากภาษีศุลกากร ตลอดจนค่าใช้จ่ายและการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ ที่เกี่ยวข้องกับการปรับโฉมผลิตภัณฑ์ใหม่ของปอร์เช่ ส่งผลให้โฟล์คสวาเกนมีค่าใช้จ่ายรวม 7.5 พันล้านยูโร (ราว 2.8 แสนล้านบาท)ในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน ขณะที่การเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ก็ยังกดดันอัตรากำไรของบริษัทด้วย
ทั้งนี้ โฟล์คสวาเกนกำลังเผชิญแรงกดดันให้ปรับตัวต่อภาษีนำเข้าของสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะทำให้กลุ่มบริษัทต้องแบกรับต้นทุนมากถึง 5 พันล้านยูโรในปีนี้
“เป้าหมายหลักของเราคือ การใช้ประโยชน์จากขนาดของกลุ่มธุรกิจอย่างมุ่งเป้า และเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างซินเนอร์จีภายในกลุ่มให้ดียิ่งขึ้น” อาร์โน อันต์ลิทซ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังคงประมาณการแนวโน้มทางการเงินไว้เช่นเดิม โดยคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มในปีนี้จะอยู่ในช่วง 2–3% และรายได้รวมจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน
สำหรับบริษัทรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของยุโรปอย่างโฟล์คสวาเกน จำเป็นต้องปรับลดประมาณการผลประกอบการลงถึง 3 ครั้งในปีนี้ โดยครั้งแรกเป็นการรับแรงกระแทกจากสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และครั้งล่าสุดมาจากการ “ปรับทิศทางกลยุทธ์” ของบริษัทลูกอย่าง ปอร์เช่ ซึ่งขาดทุนอย่างหนักในไตรมาสที่สามเช่นกัน
โอลิเวอร์ บลูม ซีอีโอของโฟล์คสวาเกน ซึ่งดำรงตำแหน่งซีอีโอของปอร์เช่ควบคู่กันมาด้วย จะส่งมอบตำแหน่งในปอร์เช่ให้คนอื่นในช่วงต้นปีหน้า และจะคงไว้เฉพาะตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของบริษัทแม่เท่านั้น
ในขณะนี้ นักลงทุนจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นถึงความสามารถของเขาในการบริหารสองบริษัทไปพร้อมกัน ท่ามกลางช่วงเวลาที่ทั้งสองกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่
อ้างอิง: reuters







