ตรวจทิศทางสงครามการค้าเมื่อ'ทรัมป์'เจอ 'สี จิ้นผิง'

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีแผนพบกันในวันที่ 30 ต.ค. ที่เกาหลีใต้ ถ้าเป็นจริงจะเป็นการพบกันครั้งแรกนับตั้งแต่ผู้นำสหรัฐจุดประกายสงครามการค้าโลกในเดือน เม.ย. โลกจึงจับตาอย่างใกล้ชิดว่าสองประเทศจะทำข้อตกลงการค้ากันได้หรือไม่
KEY
POINTS
- ผู้นำสหรัฐ และจีนมีกำหนดการพบปะกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดสงครามการค้า ทั่วโลกจับตาว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้หรือไม่
- ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการผ่อนปรนความตึงเครียดเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน มากกว่าการทำข้อตกลงที่ครอบคลุมและยั่งยืน เนื่องจากความขัดแย้งเชิงยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้ง
- ประเด็นสำคัญในการเจรจาครอบคลุมเรื่องการลดกำแพงภาษีที่อยู่ในระดับสูง, การควบคุมแร่หายากของจีน, ปัญหาสารตั้งต้นเฟนทานิล และข้อเรียกร้องให้จีนซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐ เพิ่มขึ้น
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีแผนพบกันในวันที่ 30 ต.ค. ที่เกาหลีใต้ ถ้าเป็นจริงจะเป็นการพบกันครั้งแรกนับตั้งแต่ผู้นำสหรัฐจุดประกายสงครามการค้าโลกในเดือน เม.ย. โลกจึงจับตาอย่างใกล้ชิดว่าสองประเทศจะทำข้อตกลงการค้ากันได้หรือไม่
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ไม่กี่วันก่อนมหาอำนาจเศรษฐกิจทั้งสองเพิ่งตึงเครียดกันรอบใหม่ ทรัมป์ขู่เก็บภาษีจีนเพิ่มเติม 100% หลังจีนประกาศควบคุมแร่ธาตุหายาก แต่ล่าสุดสองฝ่ายมีท่าทีประนีประนอมกันมากขึ้น สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐกล่าวว่า คำขู่ล่าสุดของทรัมป์ “แทบเป็นไปไม่ได้”
กระนั้น ข้อตกลงที่ครอบคลุมและยั่งยืนแก้ไขข้อพิพาทต่างๆ นานาที่สั่งสมมาตั้งแต่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกไม่มีทีท่าจะเกิดขึ้นได้ ความตึงเครียดสะท้อนถึงการเป็นคู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้ง ผลจากเศรษฐกิจและเทคโนโลยีจีนเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลวอชิงตันมองว่าเป็นความท้าทายต่อความเป็นเจ้าครองโลกของสหรัฐโดยตรง
ฉากทัศน์ดีที่สุดที่น่าจะเกิดขึ้นคือการผ่อนปรนอย่างระมัดระวังแก้ไขปัญหาสำคัญที่สุดก่อนเพื่อเปิดช่องให้ผู้นำทั้งสองประกาศชัยชนะ หลีกเลี่ยงปิดกั้นการไหลเวียนของสินค้าระหว่างกันที่มีมูลค่าเกือบ 7 แสนล้านดอลลาร์
###ประเด็นที่เห็นชอบร่วมกัน
ทรัมป์เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 145% ในเดือน เม.ย. สูงกว่าทุกประเทศ จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐมาอยู่ที่ 125% ก่อนความเสียหายจะเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาสงบศึกเพื่อหาทางออกร่วมกัน
สหรัฐลดภาษีให้จีนเหลือ 30% ประกอบด้วย “ภาษีตอบโต้” 10% อีก 20% เป็นภาษีที่ประกาศไปก่อนหน้านั้นโทษฐานที่จีนไม่ระงับยับยั้งการลักลอบขนเฟนทานิลเข้าสหรัฐ ขณะที่ภาษีเหล็กและชิ้นส่วนรถยนต์ที่ทรัมป์เก็บกับคู่ค้าทุกประเทศยังคงไว้เหมือนเดิม
จีนเห็นชอบเก็บภาษีตอบโต้เท่ากับสหรัฐลดลงมาเหลือ 10% เหมือนกัน และว่าจะระงับหรือยกเลิกอุปสรรคการค้าที่ไม่ใช่ภาษีที่เก็บจากสหรัฐตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.
ทางการอเมริกันเข้าใจว่านี่จะนำไปสู่การยกเลิกจำกัดการส่งออกแรร์เอิร์ธของจีน วัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในหลายๆ เทคโนโลยี เช่น เครื่องเอ็มอาร์ไอและขีปนาวุธ และหยุดยั้งการที่จีนเป็นเจ้าควบคุมซัพพลายเชนแรร์เอิร์ธโลก แต่รัฐบาลจีนยังเดินหน้าควบคุมการออกใบอนุญาตส่งออก จนสหรัฐกล่าวหาว่าจีนปิดกั้นอุปทาน
จากนั้นในเดือน มิ.ย. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบกรอบข้อตกลงฉบับหนึ่ง โดยจีนจะอนุญาตส่งออก “สินค้าควบคุม” ที่ “ตรงกับเงื่อนไขตามข้อกฎหมาย” ในทางกลับกันสหรัฐเห็นชอบยกเลิกมาตรการตอบโต้ที่เคยนำมาใช้กับสินค้าส่งออก อาทิ อีเทนซึ่งใช้ทำพลาสติก, ซอฟต์แวร์ชิป และเครื่องยนต์เครื่องบิน
ภาษีที่สหรัฐเก็บจากจีนขณะนี้
ทรัมป์กล่าวในเดือน มิ.ย.ว่า ภาษีที่เก็บจากสินค้าจีนรวม 55% ประกอบด้วย ภาษีตอบโต้ 10% ภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล 20% และภาษีที่มีอยู่ก่อนแล้วจากรัฐบาลทรัมป์วาระแรกและก่อนหน้านั้น 25%
บลูมเบิร์กอีโคโนมิกประเมินว่า ภาษีเฉลี่ยที่เก็บจริงในปีนี้ต่ำกว่านั้น อยู่ที่ราว 40% เนื่องจากมีการยกเว้นให้มากมายรวมถึงปัจจัยอื่นๆ อย่างไรก็ตามยังสูงสุดนับตั้งแต่จีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกในปี 2001 และสูงมากเมื่อเทียบกับที่สหรัฐเก็บจากประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในเอเชีย
ก่อนทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีในเดือน ม.ค. สินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนเสียภาษีเฉลี่ย 11% สูงกว่ามากจาก 3% ในปี 2016 ก่อนทรัมป์เป็นประธานาธิบดีวาระแรก
สหรัฐจะลดภาษีให้จีนอีกหรือไม่
เป็นไปได้ที่สุดท้ายแล้วจะลดภาษีลงเมื่อทั้งสองฝ่ายเจรจาการค้ากันได้ โดยเฉพาะถ้าสหรัฐเห็นด้วยว่า จีนพยายามสกัดการไหลเข้ามาของสารตั้งต้นเฟนทานิล
เมื่อปลายเดือน ต.ค. ทูตการค้าของปักกิ่งเผยว่า สองประเทศเห็นพ้องกันในเบื้องต้นเรื่องเฟนทานิล ชี้ว่าสหรัฐอาจยกเลิกหรือลดภาษีนำเข้า
แต่ถึงแม้ลดลงแล้วภาษีสหรัฐที่เก็บจากจีนยังมีแนวโน้มสูงมาก เบสเซนต์เคยให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์กในเดือน พ.ค. “ไม่น่าเป็นไปได้” ที่ภาษีจะต่ำกว่า 10%
ประเด็นอื่นที่ยังคั่งค้าง
เบสเซนต์สนับสนุนให้เจอกันบ่อยๆ เพื่อสองประเทศจะได้คุยในเรื่องที่ใหญ่ขึ้นได้ เพราะยังมีเรื่องให้ต้องหารือกันอีกมาก เช่น จีนซื้อน้ำมันรัสเซียและอิหร่านที่ถูกสหรัฐคว่ำบาตรในปริมาณมาก ทรัมป์เก็บ “ภาษีทางอ้อม” ในอัตรา 25% จากอินเดียโทษฐานซื้อน้ำมันดิบรัสเซีย และส่งสัญญาณว่าจีนจะโดนแบบเดียวกัน
แต่ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาการค้าของทรัมป์ลดทอนความเป็นไปได้โดยกล่าวว่า ภาษีสูงอาจทำร้ายสหรัฐเอง กลางเดือน ต.ค. สหรัฐขึ้นบัญชีดำบริษัทน้ำมันรัสเซียงสองแห่ง ทั้งรอสเนฟต์และลุคออยล์ ทำให้รัฐวิสาหกิจน้ำมันของจีนต้องยกเลิกซื้อน้ำมันดิบรัสเซียไปบางส่วน พร้อมกันนั้นกระทรวงการต่างประเทศจีนตอกย้ำว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่วอชิงตันใช้มาตรการคว่ำบาตรแบบนี้
อีกหนึ่งปมคาใจสำหรับสหรัฐคือจีนครองความเป็นเจ้าในการผลิตของโลก เบสเซนต์เรียกร้องให้ “ปรับสมดุลอย่างมาก” ระหว่างสองประเทศ โดยมองว่าจีนจะเป็นระบบเศรษฐกิจเน้นการบริโภคมากขึ้น และสหรัฐกำลังเพิ่ม “การผลิตแม่นยำ” มากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้นสหรัฐยังอยากให้จีนปฏิบัติตาม “ข้อตกลงซื้อสินค้า” เช่น รับปากซื้อสินค้าอเมริกันมากขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้ก็จะเหมือนกับข้อตกลงการค้า“เฟสหนึ่ง” ที่สองประเทศทำกันไว้ในปี 2020 ซึ่งจีนรับปากซื้อสินค้าและบริการจากสหรัฐเพิ่ม 2 แสนล้านดอลลาร์ในเวลาสองปี
รอบนี้ทรัมป์เรียกร้องให้จีนซื้อถั่วเหลืองเพิ่มสี่เท่า จีนเป็นผู้ซื้อน้ำมันถั่วเหลืองรายใหญ่สุดของโลก และซื้อถั่วเหลืองสหรัฐราวครึ่งหนึ่งของที่ส่งออกในปี 2024 แต่นับจากสงครามการค้าครั้งแรกจีนซื้อสินค้าจากประเทศอื่นๆ มากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐ ปีนี้นับถึงสิ้นเดือน ก.ย. จีนไม่ซื้อถั่วเหลืองอเมริกันในฤดูกาลเก็บเกี่ยวปัจจุบันเลย แต่ไปซื้อจากบราซิลและชาติอื่นๆ ที่เป็นมิตรมากกว่าแทน แต่เริ่มมีสัญญาณดีปรากฏให้เห็น เมื่อเบสเซนต์กล่าวเมื่อวันที่ 26 ต.ค. ว่า จีนอาจซื้อถั่วเหลือง “ปริมาณมาก” ส่วนหนึ่งของข้อตกลงการค้า
สัมพันธ์การค้าจะจบที่ไหน
เบสเซนต์กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายไม่อยากตัดขาดจากกัน แต่รัฐบาลทรัมป์กำลังหาทาง “ตัดขาดเชิงยุทธศาสตร์” อุตสาหกรรมจำนวนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ เช่น เซมิคอนดักเตอร์, ยา และเหล็ก
แม้สหรัฐและจีนอาจค่อยๆ ลงนามข้อตกลงการค้าเต็มรูปแบบ ซึ่งต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี และไม่อาจรับประกันได้ว่าจะเป็นทางออกที่ยั่งยืน ข้อตกลงเฟสหนึ่งในสมัยทรัมป์หนึ่งต้องเจรจากันถึง 18 เดือนกว่าจะตกลงกันได้ในปี 2020 ระหว่างนั้นทั้งสองฝ่ายเก็บภาษีซึ่งกันและกัน







