ศึกแรร์เอิร์ธ 'สหรัฐ' เร่งสร้างฐานผลิต 'แร่ธาตุหายาก' หวังหลุดพ้นเงาจีน

‘สหรัฐ’ เร่งสร้างฐานการผลิตแร่ธาตุหายาก เพื่อท้าทายการผูกขาดของจีน รัฐบาลให้เงินอุดหนุน-ผู้ผลิตเพิ่มกำลัง 2,000 ตัน รับความต้องการพุ่ง แต่การลดพึ่งพาจีนไม่ง่าย
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่าง “สหรัฐ” และ “จีน” ได้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรม “แร่ธาตุหายาก” (Rare Earth Minerals) ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญที่ใช้ในเทคโนโลยีล้ำสมัย หลังจากที่จีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตและแปรรูปรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ใช้มาตรการควบคุมการส่งออกเพื่อตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐ ตั้งแต่เดือนเม.ย. ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้ยังไม่ชัดเจนนัก เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ “สก็อตต์ เบสเซนต์” หวังว่าจีนอาจเลื่อนมาตรการออกไปเพื่อเอื้อต่อข้อตกลงการค้า โดยคาดว่าประเด็นแร่ธาตุหายากจะเป็นวาระสำคัญในการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่มีกำหนดพบปะกันในปลายสัปดาห์นี้
บริษัทแร่ ‘สหรัฐ’ เร่งกำลังผลิต 2,000 ตัน รับความต้องการพุ่ง
ไม่ว่าผลการเจรจาทางการค้าจะเป็นอย่างไร ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็มองไปข้างหน้าแล้ว โดยคาดการณ์ว่าทั่วโลกจะไม่ต้องการกลับไปพึ่งพาซัพพลายเออร์รายเดิมอีกต่อไป
โรงงานของบริษัท Noveon Magnetics Inc. ในรัฐเท็กซัสกำลังเป็นหัวหอกสำคัญในความพยายามของสหรัฐ ในการขยายฐานการผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญในอุตสาหกรรมอย่าง “แม่เหล็กหายาก” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขันทางการค้าในระดับโลก ซึ่ง Noveon เริ่มขายแม่เหล็กหายากในเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2566
Scott Dunn ผู้ร่วมก่อตั้ง Noveon กล่าวว่า ความต้องการแม่เหล็กหายากเพิ่มสูงขึ้นอย่างล้นหลาม โดยมีลูกค้าหลากหลายตั้งแต่องค์กรผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง General Motors Co. ไปจนถึงบริษัทผลิตระบบอัตโนมัติอย่าง ABB Ltd. และยังถูกขอให้เพิ่มปริมาณการผลิตให้เร็วกว่าที่วางแผนไว้ โดย Noveon กำลังเร่งดำเนินการเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตแม่เหล็กให้ถึงเป้าหมายประจำปีที่ 2,000 ตัน สะท้อนให้เห็นถึงความเร่งด่วนของอุตสาหกรรมในสหรัฐที่ต้องการแหล่งซัพพลายที่มั่นคงและไม่ใช่จากจีน
ผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านแร่ธาตุหายากนับสิบคน ชี้ให้เห็นว่าภูมิทัศน์ทางการค้ากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความสนใจของนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมากและรัฐบาลหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐกำลังให้ความสำคัญกับการสร้างห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุหายากที่ไม่ต้องพึ่งพาจีน
บริษัทที่ปรึกษาด้านแร่ธาตุสำคัญ Adamas Intelligence มีการคาดการณ์ว่า โรงงานผลิตแม่เหล็กแห่งใหม่ของสหรัฐหลายแห่งที่กำลังก่อสร้างอยู่ อาจมีความสามารถในการผลิตมากพอที่จะชดเชยการนำเข้าแม่เหล็กหายากได้ภายในปี 2571
นอกจากนี้ ยังมีการประเมินว่าการใช้งานแม่เหล็กหายากทั่วโลกจะเติบโตถึง 9% ต่อปี ในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยความต้องการรวมในสหรัฐสูงกว่าปัจจุบันถึง 5 เท่า และความต้องการในยุโรปจะเพิ่มขึ้น มากกว่า 2 เท่า
แม้ว่าการเติบโตนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ แต่เป้าหมายดังกล่าวยังถือว่ายังห่างไกลจากเป้าหมายของสหรัฐ เนื่องจากต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการสร้างเหมืองแร่ขึ้นใหม่ ใช้เวลาในการพัฒนาความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการผลิตแม่เหล็ก และต้องใช้เวลาในการตามให้ทันความเป็นผู้นำของจีนที่สั่งสมมานานหลายทศวรรษ
‘สหรัฐ’ ทำดีล-ให้เงินอุดหนุน อุตสาหกรรม ‘แรร์เอิร์ธ’
เจมส์ ลิทินสกี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ MP Materials Corp. ผู้ดำเนินการเหมืองแร่หายากเพียงแห่งเดียวในสหรัฐ ได้รับการสนับสนุนครั้งสำคัญจากรัฐบาลสหรัฐ โดยได้รับเงินลงทุนมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา โดยเงินทุนนี้ถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างโรงงานผลิตแม่เหล็กแห่งใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับการรับประกันการซื้อในราคาขั้นต่ำ ทำให้บริษัทมีความมั่นคงในการดำเนินงาน และช่วยสร้างมาตรฐานด้านอุปทานแร่ธาตุหายากในระดับประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การสนับสนุนจากรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการที่สหรัฐและออสเตรเลีย ได้ตกลงที่จะ “ร่วมลงทุน” ในเหมืองแร่และโครงการแปรรูปแร่ธาตุหายากของออสเตรเลีย โดยทั้ง 2 ประเทศยังให้คำมั่นที่จะใช้มาตรการทางการค้า เช่น การกำหนดราคาขั้นต่ำ เพื่อช่วยปกป้องผู้ผลิตจากกลไกการแข่งขันที่ผูกขาด
“ไรอัน คาสติลโลซ์” กรรมการผู้จัดการของ Adamas Intelligence ชี้ให้เห็นว่า การที่รัฐบาลสหรัฐเข้ามาแทรกแซงและให้การสนับสนุนทางการเงินในอุตสาหกรรมแร่ธาตุหายากอย่างมากนั้น ชวนให้นึกถึงแผนการของจีนที่ได้ควบคุมอุตสาหกรรมนี้อย่างเข้มงวดภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ โดยให้การสนับสนุนเชิงกลยุทธ์แก่บริษัทต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การให้เงินกู้ราคาถูกหรือการอำนวยความสะดวกด้านใบอนุญาต ซึ่งเป็นแนวทางที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากรูปแบบเศรษฐกิจเสรีของชาติตะวันตก
‘สหรัฐ’ สร้างฐานการผลิต ‘แร่ธาตุหายาก’ เอาชนะจีนไม่ง่าย
อบิเกล ฮันเตอร์ ผู้อำนวยการบริหารของศูนย์กลยุทธ์แร่ธาตุสำคัญ SAFE มองว่า แม้รัฐบาลจะสนับสนุน แต่ "ข้อตกลงแบบคัดลอกและวาง" ที่เหมือนกับที่บริษัท MP Materials ได้รับนั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ สำหรับทุกบริษัทในอุตสาหกรรม
ฮันเตอร์ย้ำว่า สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ความตั้งใจของรัฐบาลที่จะตอบสนองต่อตลาดและปัญหาเฉพาะหน้าของแต่ละบริษัทที่เผชิญความท้าทายต่าง ๆ กัน ดังนั้น เป้าหมายของนโยบายทำให้แน่ใจว่าบริษัทเหล่านี้จะสามารถอยู่รอดได้และเติบโตในที่สุด
คำถามสำคัญคือ ชาติตะวันตกจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมแร่ธาตุหายากได้มากน้อยเพียงใด และจะทำได้รวดเร็วแค่ไหนเมื่อต้องแข่งกับยักษ์ใหญ่อย่างจีน เนื่องจาก 3 ความท้าทายใหญ่ ได้แก่
- การผูกขาดด้านทรัพยากร โดยจีนครอบครองแหล่งสำรองแร่หายากถึงครึ่งหนึ่งของโลก และมีกำลังการกลั่นส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
- ความเป็นผู้นำที่ยาวนาน เนื่องจากจีนเริ่มขยายขนาดอุตสาหกรรมแร่หายากมาตั้งแต่ช่วง ทศวรรษ 1980
- การครองตลาด ปัจจุบันจีนเป็นผู้จำหน่ายแม่เหล็กหายากมากกว่า 90% ของทั้งหมดทั่วโลก
กราฟิกสะท้อนว่า ความพยายามในการลดการพึ่งพาจีนกำลังเกิดขึ้นอย่างจริงจังในขั้นตอนการทำเหมือง แต่การครอบงำของจีนในขั้นตอนการกลั่นแร่ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการแปรรูป ยังคงเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด และไม่ได้ลดลงอย่างรวดเร็วภายในปี 2573
วิกฤตการณ์ในอดีตที่ผ่านมา กรณีที่จีนคว่ำบาตรการส่งออกแร่ธาตุหายากไปยังญี่ปุ่นในปี 2010 เคยจุดประกายให้ทั่วโลกหันมาสนใจปัญหาการผูกขาดในอุตสาหกรรมนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำลายอิทธิพลของจีนได้อย่างแท้จริง
นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ชี้ให้เห็นว่า การสร้างเหมืองแร่หายากใหม่ต้องใช้เวลา 8-10 ปี และโรงกลั่นแร่ต้องใช้เวลาประมาณ 5 ปี ซึ่งเป็นกรอบเวลาที่ยาวนานมาก
เดวิด เอส. อับราฮัม ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยบอยซีสเตต ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายทางเทคนิค โดยกล่าวว่า "ไม่มีตำราสำหรับการผลิตแม่เหล็ก" และ "ต้องใช้เวลาเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ที่คุณขายให้ลูกค้าตรงตามข้อกำหนดของพวกเขา" ซึ่งเน้นย้ำว่ากระบวนการนี้ต้องการความละเอียดและเวลาในการปรับจูนอย่างมาก
ในท้ายที่สุด ยังมีคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบว่าลูกค้าจะเต็มใจแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นหรือไม่ จากมาตรการของรัฐบาล เช่น การกำหนดราคาขั้นต่ำที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องและบ่มเพาะอุตสาหกรรมในประเทศ แต่มาตรการเหล่านี้ย่อมมาพร้อมกับต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค
แม้ว่าในทางทฤษฎีบริษัทต่าง ๆ อาจยอมรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมหลายคนมีความเห็นว่าเป้าหมายของบริษัทที่มองหาสินค้าราคาต่ำมักไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล และในท้ายที่สุดจีนจะยังคงครองตลาดต่อไป เนื่องจากความเชี่ยวชาญทางเทคนิคที่เหนือกว่า
อ้างอิง Bloomberg







