7 สิ่งต้องรู้เกี่ยวกับ 'แร่หายาก' อาวุธสำคัญในสงครามเทคโนโลยีโลก

แร่หายากเป็นส่วนประกอบสำคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้า และกังหันลม แม้ชื่อจะบอกว่าหายาก แต่แร่ชนิดนี้มีอยู่มากในเปลือกโลก แต่ยากที่จะสกัดออกมาให้คุ้มค่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประเทศจีน เป็นผู้ผลิต และแปรรูปแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยครองส่วนแบ่งตลาดเกือบ 70%
KEY
POINTS
- แร่หายากเป็นส่วนประกอบสำคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้า และกังหันลม
- แม้ชื่อจะบอกว่าหายาก แต่แร่ชนิดนี้มีอยู่มากในเปลือกโลก แต่ยากที่จะสกัดออกมาให้คุ้มค่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ประเทศจีนเป็นผู้ผลิต และแปรรูปแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยครองส่วนแบ่งตลาดเกือบ 70%
แร่หายาก (Rare Earths) ถือเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่สำคัญที่สุดในโลก ยุคนี้เลยก็ว่าได้ เพราะมันเป็นส่วนประกอบสำคัญของเทคโนโลยีแทบทุกอย่างที่เป็นรากฐานของชีวิตสมัยใหม่ของเรา แต่ก็น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักชื่อมันเลย จนกระทั่ง "สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน" ปะทุขึ้นมานั่นแหละ แร่หายากถึงได้ถูกผลักให้มาอยู่ในความสนใจของโลก
พวกแร่เหล่านี้มีชื่อเรียกแปลกๆ อย่าง "แกโดลิเนียม" (gadolinium) และ "ดิสโพรเซียม" (dysprosium) ซึ่งถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ ไอโฟน ไปจนถึงเครื่องเอกซเรย์เอ็มอาร์ไอ และการรักษาโรคมะเร็ง แถมช่วงหลังๆ มานี้ ความต้องการแร่หายากก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอีกมาก จากการเติบโตของเทคโนโลยีสีเขียวที่มีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอน
ปัญหาคือ โลกเราพึ่งพาจีนเป็นแหล่งแร่หายากหลักมานานมาก และจีนก็ใช้จุดแข็งตรงนี้มาเป็นเครื่องมือตอบโต้สงครามการค้าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐเป็นคนเริ่มขึ้น โดยจีนใช้บทบาทของตัวเองในการเป็นเจ้าของซัพพลายแร่หายากเหล่านี้ในสัดส่วนที่มากที่สุดจัดการกับภาษีของอเมริกา ด้วยการจำกัดการส่งออกแร่หายากในช่วงที่ผ่านมา
การผ่อนคลายข้อจำกัดเหล่านี้จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญในการเจรจาการค้าระหว่างสองมหาอำนาจ ในขณะเดียวกัน การควบคุมที่เข้มงวดขึ้นของจีนก็เป็นแรงผลักดันให้สหรัฐต้องเร่งหาแหล่งแร่หายากทางเลือกใหม่ ทั้งภายในประเทศตัวเอง และจากประเทศพันธมิตรอย่างออสเตรเลีย
แรร์เอิร์ธคืออะไร
แร่หายาก จริงๆ แล้วก็คือ กลุ่มของธาตุโลหะ 17 ชนิดที่ถูกจัดรวมไว้ด้วยกันเพราะมีคุณสมบัติทางเคมีที่คล้ายกันมาก แถมคุณสมบัติพิเศษด้านแสง แม่เหล็ก และไฟฟ้าของพวกเหล่านี้แหละที่ทำให้แร่กลุ่มนี้ถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์สารพัดอย่าง
ยกตัวอย่างง่ายๆ:
- "เทอร์เบียม" (terbium) กับ "อิตเทรียม" (yttrium) มีส่วนสำคัญมากๆ ที่ทำให้หน้าจอโทรศัพท์มือถือหรือทีวีของเราแสดงสีสันได้สดใส
- ส่วน "ซีเรียม" (cerium) มีคุณสมบัติในการกระตุ้นปฏิกิริยาเคมี มันเลยถูกเอาไปใช้ในเครื่องกรองไอเสียรถยนต์เพื่อช่วยลดมลพิษจากควันรถนั่นเอง
- และที่ขาดไม่ได้คือ "นีโอดิเมียม" (neodymium) กับ "พราเซโอดิเมียม" (praseodymium) ที่เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างมอเตอร์แม่เหล็กถาวร (permanent magnet motors) โดยทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ให้กลายเป็นการเคลื่อนไหว (เช่น หมุนล้อรถยนต์ไฟฟ้า) และในทางกลับกัน ก็สามารถเปลี่ยนการเคลื่อนไหว (เช่น การหมุนของกังหันลม) ให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ด้วย เรียกว่าเป็นพระเอกของทั้งรถยนต์ไฟฟ้า และกังหันลม
แล้วอะไรทำไร แร่หายาก 'หายาก' ?
ตรงกันข้ามกับชื่อของมันเลย "แร่หายาก" จริงๆ แล้วไม่ได้หายากอย่างที่เราคิด เพราะในเปลือกโลก แร่บางชนิดอย่าง "ซีเรียม" (cerium) มีปริมาณมากกว่าดีบุก (tin) หรือสารตะกั่ว (lead) เสียอีก
ทีนี้ สิ่งที่ทำให้มัน "หายาก" คือ มันยากที่จะเจอแหล่งที่มีแร่เข้มข้นมากพอที่จะขุดขึ้นมาขายแล้วคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ ต่างหาก
นอกจากนี้ กระบวนการสกัดแร่หายากยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก เพราะต้องใช้น้ำ และพลังงานมหาศาลในการแยกแร่เหล่านี้ออกจากหินที่ฝังอยู่ แถมยังมีความเสี่ยงสูงที่การทำเหมืองจะทำให้เกิดการปนเปื้อนในดิน และน้ำใต้ดินได้ด้วย เนื่องจากแร่หายากมักจะอยู่ปนกับธาตุกัมมันตรังสีอย่างยูเรเนียม (uranium) และทอเรียม (thorium)
ใครเป็นเจ้าของแร่หายากที่มากที่สุดในโลก
ย้อนกลับไปในช่วงปี ทศวรรษ 1960 ถึงทศวรรษ 1980 สหรัฐอเมริกาเคยเป็นผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่หลังจากนั้นบทบาทนี้ก็ลดลง เมื่อจีนเริ่มเดินหน้าขยายการผลิตอย่างจริงจัง
ด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำกว่ามาก จีนสามารถ "ทุ่มตลาด" ด้วยแร่หายากราคาถูก จนผูกขาดเกือบเบ็ดเสร็จในห่วงโซ่อุปทานของโลกได้สำเร็จ
ปัจจุบัน จีนยังคงรับผิดชอบในการขุดแร่หายากประมาณ 70% ของทั้งโลก โดยข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐ (US Geological Survey) ระบุว่า ในปี 2024 จีนผลิตได้ถึง 270,000 เมตริกตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในเวลาแค่ 5 ปีเท่านั้น
ขณะที่สหรัฐตามมาเป็นอันดับสองแบบห่างๆ ด้วยปริมาณการผลิตเพียง 45,000 ตันเท่านั้น
จีน 'ยักษ์ใหญ่' ผลิตแรร์เอิร์ธมากที่สุดในโลก
ปัจจุบัน จีนยังคงเป็นผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ที่สุดในโลกตามรายงานของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอย่างที่บอกไปโดยในปี 2024 นี้ กินส่วนแบ่งการผลิตไปเกือบ 70% ของผลผลิตทั่วโลกเลยทีเดียว
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนผงาดขึ้นมาครองตลาดได้ขนาดนี้ ก็เพราะประเทศเขามีแหล่งสำรองแร่หายากคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของโลก ซึ่งหมายถึงปริมาณแร่ที่สามารถขุดขึ้นมาใช้ได้จริง และคุ้มค่าทางเศรษฐกิจนั่นเอง ตอนนี้จีนมีแหล่งสำรองอยู่ประมาณ 44 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าบราซิลที่ตามมาเป็นอันดับสองถึงสองเท่า!
ในทางกลับกัน สหรัฐกลับรั้งอยู่แค่อันดับที่เจ็ดของโลก มีแหล่งสำรองเพียง 1.9 ล้านตัน และที่สำคัญกว่านั้นคือ สหรัฐยังมีขีดความสามารถในการ "แปรรูป" (refining) ที่ต่ำมาก พูดง่ายๆ คือ ถึงแม้ประเทศอื่นจะขุดแร่หายากขึ้นมาได้ แต่สุดท้ายก็ยังต้องส่งแร่เหล่านั้นกลับไปให้จีนเป็นคนแปรรูปอยู่ดี ทำให้จีนยังคงเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานนี้อย่างแท้จริง
จีนขึ้นมาเป็น 'เจ้าโลก' ด้านแรร์เอิร์ธได้ยังไง
จีนรู้ดีมานานแล้วว่าตัวเองได้เปรียบเรื่องแร่หายากขนาดไหน "เติ้ง เสี่ยวผิง" ผู้นำจีนถึงกับเคยพูดไว้ตั้งแต่ปี 1992 ว่า
"ตะวันออกกลางมีน้ำมัน ส่วนจีนมีแร่หายาก"
อิทธิพลของจีนในตลาดนี้เริ่มเป็นที่ประจักษ์ในปี 2010 เมื่อรัฐบาลจีนตัดสินใจ "ระงับการส่งออกแร่หายากไปยังญี่ปุ่น" เป็นเวลาถึงสองเดือน หลังเกิดข้อพิพาทเรื่องพรมแดนทางทะเล เหตุการณ์นี้ทำให้ญี่ปุ่นต้องใช้เวลานานมากในการพยายามลดการพึ่งพาแร่หายากจากจีน
แต่ อดีตรัฐมนตรีด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอย่าง "ทาคายูกิ โคบายาชิ" เคยให้ข้อมูลว่า ญี่ปุ่นลดการพึ่งพาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น คือ จากเดิมที่เคยพึ่งพา 80-90% ก็ลดเหลือประมาณ 60%
รัฐบาลกลางของจีนยังคงควบคุมการผลิต และการส่งออกแร่หายากของประเทศไว้อย่างแน่นหนา และในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จีนก็ใช้ "อำนาจ" นี้อย่างเปิดเผยมากขึ้น เมื่อความตึงเครียดกับสหรัฐ เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์
ในช่วงปลายปี 2023 จีนได้ "ขยายข้อจำกัดการส่งออก" ไปถึงเทคโนโลยีที่ใช้ในการแปรรูปแร่หายากด้วย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการควบคุมกระบวนการกลั่น และผลิตของตัวเอง ซึ่งยิ่งตอกย้ำอิทธิพลของจีนในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกให้ชัดเจนขึ้นไปอีก
แรร์เอิร์ธในฐานะอาวุธสงครามการค้า
นอกจากจะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีแบบต่างตอบแทนแล้ว ช่วงต้นเดือนเมษายน ที่ผ่านมา จีนได้เพิ่มแรร์เอิร์ธ 7 ชนิด และแม่เหล็กถาวรเข้าไปในรายการควบคุมการส่งออก ซึ่งหมายความว่าบริษัทต่างๆ ต้องขอใบอนุญาตพิเศษเพื่อจะส่งวัตถุดิบเหล่านี้ออกไปขายต่างประเทศ นี่เป็นมาตรการที่คล้ายกับข้อจำกัดที่จีนเคยใช้กับแร่ธาตุสำคัญอื่นๆ มาแล้วในช่วงสองปีที่ผ่านมา เช่น แกลเลียม เยอรมาเนียม กราไฟท์ และแอนติโมนี
ข้อจำกัดการส่งออกแรร์เอิร์ธนี้ยังรวมถึงแรร์เอิร์ธชนิด "หนัก" บางตัว ซึ่งเป็นชนิดที่ผลิตเกือบทั้งหมดโดยจีน และมีมูลค่าสูงกว่าปกติด้วย ตัวอย่างเช่น ลูทีเทียม (lutetium) ที่ใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการแตกตัวของไฮโดรคาร์บอนในโรงกลั่นน้ำมัน
ข้อจำกัดด้านแรร์เอิร์ธของจีนสร้างความกดดันให้กับบริษัทอเมริกันอย่างมาก ถึงขนาดที่บริษัท Ford Motor Co. ต้องปิดโรงงานที่ชิคาโกไปชั่วคราวในเดือนพฤษภาคม เพราะขาดแคลนแม่เหล็กแรร์เอิร์ธ ผลกระทบนี้ยังลามไปถึงส่วนอื่นๆ ของโลก รวมถึงสหภาพยุโรป ที่บริษัทต่างๆ ต้องรายงานการหยุดผลิตไปหลายครั้ง
การกลับมาของการส่งออกแรร์เอิร์ธจึงกลายเป็นเรื่องที่สหรัฐ ต้องการให้เป็นอันดับต้นๆ ในการเจรจาการค้ากับจีนเมื่อเดือนมิถุนายน ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงกรอบความร่วมมือกัน และจีนบอกว่าจะพิจารณาคำขอส่งออกสินค้าที่ถูกควบคุมจากต่างประเทศ โดยจะตรวจสอบ และอนุมัติตามข้อกำหนดของกฎหมายก็ตาม...
แต่เรื่องยังไม่จบ เพราะกระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกมาเปิดเผยข้อจำกัดด้านแรร์เอิร์ธชุดใหม่ในเดือนตุลาคม โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ
กฎใหม่ระบุว่า บริษัทต่างประเทศจะต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงฯ เพื่อส่งออกสินค้าบางรายการ ถ้าสินค้าเหล่านั้นมีมูลค่าอย่างน้อย 0.1% มาจากแรร์เอิร์ธบางชนิดของจีน นอกจากนี้ยังต้องมีใบอนุญาตส่งออกสำหรับผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีจีนที่เกี่ยวข้องกับการขุดแรร์เอิร์ธ การหลอม การแยกสกัด การนำกลับมาใช้ใหม่ และการสร้างแม่เหล็ก
มาตรการเหล่านี้คล้ายกับมาตรการที่สหรัฐใช้เพื่อปิดกั้นไม่ให้บริษัทจีนเข้าถึงชิปขั้นสูงและเครื่องมือในการผลิต โดยกระทรวงพาณิชย์จีนส่งสัญญาณว่า ใบอนุญาตส่งออกสำหรับการใช้ทางทหารนั้นไม่น่าจะได้รับการอนุมัติ ส่วนใบอนุญาตสำหรับการใช้งานด้านชิป และปัญญาประดิษฐ์ (AI) บางกรณีจะถูกพิจารณาเป็นรายกรณีไป นี่แสดงให้เห็นว่าจีนกำลังใช้อำนาจเหนือแรร์เอิร์ธเพื่อตอบโต้ และปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองอย่างชัดเจน
ทรัมป์รับมืออย่างไร ?
สหรัฐอเมริกาพึ่งพาจีนสำหรับการนำเข้าแรร์เอิร์ธถึง 70% เลยทีเดียว การพึ่งพานี้ทำให้ภาคอุตสาหกรรมทางทหารของอเมริกามีความเสี่ยงสูงมาก เพราะเครื่องบินรบ F-35 ล้ำๆ ต้องใช้แรร์เอิร์ธมากกว่า 900 ปอนด์ (ประมาณ 408 กิโลกรัม) ตามข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ
ประธานาธิบดีทรัมป์เองก็รู้ถึงปัญหานี้ เลยพยายามเพิ่มซัพพลายแรร์เอิร์ธในประเทศให้ได้ ในเดือนมีนาคม เขาได้ลงนามในคำสั่งบริหาร ใช้อำนาจฉุกเฉินทางการทหารเพื่อขยายการผลิต และการแปรรูปแร่ธาตุวิกฤติ และแรร์เอิร์ธในอเมริกา เป้าหมายคือการอัดฉีดเงินทุนเพิ่มเติม เงินกู้ และการสนับสนุนด้านการลงทุนอื่นๆ พร้อมทั้งเร่งกระบวนการออกใบอนุญาตสำหรับโครงการใหม่ๆ
จากนั้น ในเดือนเมษายน ท่านประธานาธิบดีก็ได้สั่งให้มีการสอบสวนห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุวิกฤติของสหรัฐ โดยสั่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ฮาวเวิร์ด ลุตนิก ตรวจสอบว่าการพึ่งพาการนำเข้าของประเทศเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติหรือไม่ และจำเป็นต้องใช้มาตรการภาษีหรือไม่ โดยมีเวลา 270 วันในการส่งมอบผลการสอบสวน
แต่ปัญหาคือ... ถึงแม้สหรัฐ จะตั้งกำแพงภาษีนำเข้า (เพื่อให้สินค้าจีนแพงขึ้น) แต่มันไม่ได้หมายความว่าสหรัฐจะสามารถผลิตแรร์เอิร์ธได้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะปัจจุบันมีเหมืองแรร์เอิร์ธที่เปิดดำเนินการอยู่แค่แห่งเดียวในประเทศ คือ เหมือง Mountain Pass ของบริษัท MP Materials Corp. ที่เพิ่งเปิดใหม่เมื่อปี 2018 ที่แคลิฟอร์เนีย การจะเริ่มโครงการอื่นๆ ต้องใช้เวลานานหลายปี และมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ระหว่างนี้ บริษัทอเมริกันที่ต้องการแรร์เอิร์ธอาจจะต้องจ่ายแพงขึ้นสำหรับการนำเข้า หากมีการเรียกเก็บภาษีใหม่ ซึ่งก็ต้องสมมติด้วยว่าจีนอนุญาตให้วัสดุเหล่านี้ออกจากประเทศได้
เพื่อแก้ปัญหานี้ ในเดือนกรกฎาคม กระทรวงกลาโหมสหรัฐ จึงตกลงที่จะลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ใน MP Materials เพื่อสร้างผู้นำอุตสาหกรรมใหม่ รัฐบาลจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท และเงินนี้จะช่วยสนับสนุนการสร้างโรงงานผลิตแม่เหล็กแรร์เอิร์ธแห่งใหม่ โดยกระทรวงกลาโหมยังให้การรับประกัน 10 ปีด้วยว่าผลิตภัณฑ์จากโรงงานนี้จะขายหมดแน่นอน
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังมองหาแหล่งแรร์เอิร์ธจากนอกประเทศสหรัฐ ด้วย โดยลงนามในข้อตกลงเมื่อปลายเดือนเมษายน เพื่อใช้ประโยชน์จากแร่หายากของยูเครน แต่ก็มีการชี้ว่ายูเครนไม่ได้มีเหมืองแรร์เอิร์ธปริมาณใหญ่พอ และราคาถูกให้สกัดได้ง่ายๆ
ในที่สุด เดือนตุลาคม รัฐบาลทรัมป์ก็ได้ตกลงข้อตกลงสำคัญกับ ออสเตรเลีย เพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมแร่ธาตุหายากของออสเตรเลีย ทั้งสองประเทศจะใช้จ่ายมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในระยะแรก และนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียแอนโธนี อัลบานีส กล่าวว่าข้อตกลงนี้อาจขยายไปถึง 8.5 พันล้านดอลลาร์ในโครงการต่างๆ ในที่สุด
ออสเตรเลียซึ่งมีสำรองแรร์เอิร์ธมากเป็นอันดับสี่ของโลก ก็พยายามพัฒนาตัวเองเพื่อก้าวเข้ามาแทนที่จีนให้ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าโครงการหลายๆ อย่างของออสเตรเลียก็ยังต้องใช้เวลานานกว่าจะเริ่มดำเนินการได้จริง
อ้างอิง: Bloomberg
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







