‘ดิวาลี’ แสงแห่งชัยชนะและมิตรภาพ ที่ส่องประกายในหัวใจคนทั่วโลก | World Wide View

สำหรับประเทศไทย ดิวาลีไม่ใช่เรื่องไกลตัว งานดิวาลีในอินเดียมักเน้นพิธีกรรมทางศาสนาและเวลาของครอบครัว แต่ในประเทศไทยเป็นการเฉลิมฉลองเชิงวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง
ทุกปีในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ชาวอินเดียทั่วโลกจะร่วมกันเฉลิมฉลอง “เทศกาลดิวาลี” (Diwali หรือ Deepavali) หนึ่งในเทศกาลที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดของอินเดีย “ดิวาลี” หมายถึง “แถวของประทีป” หรือ แสงแห่งชัยชนะของความดีเหนือความชั่ว และแสงสว่างเหนือความมืด เทศกาลนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ความศรัทธา และการเริ่มต้นสิ่งใหม่อย่างเป็นสิริมงคล
หนึ่งในตำนานสำคัญของดิวาลี ตามตำนานของอินเดียตอนเหนือ มาจากมหากาพย์รามายณะ ว่าด้วยการเสด็จกลับกรุงอโยธยาของพระราม พระลักษมณ์ และนางสีดา หลังจากการลี้ภัย 14 ปี พระรามซึ่งเป็นอวตารปางที่ 7 ของพระวิษณุ ต้องต่อสู้กับทศกัณฐ์ กษัตริย์แห่งลงกา ผู้ลักพานางสีดาไป พระองค์ได้รับความช่วยเหลือจากหนุมานจนสามารถปราบอสูรร้ายได้สำเร็จ เมื่อเสด็จกลับสู่อโยธยา ชาวเมืองต่างจุดประทีปส่องสว่างไปทั่วเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะและการกลับมาของพระองค์ ถือเป็น “วันแห่งชัยชนะของธรรมะเหนืออธรรม” เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นต้นกำเนิดของ “เทศกาลแห่งแสงสว่าง” ที่ยังคงสืบทอดมานับพันปี
อย่างไรก็ตาม อินเดียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูง ชาวฮินดูในแต่ละภูมิภาคจึงมีการเฉลิมฉลองดีปาวลีแตกต่างกันไป ทางตอนใต้ของอินเดีย เทศกาลนี้ถือเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะของพระกฤษณะเหนืออสูรนรกาสูร (Narakasura) ซึ่งสื่อถึงการขจัดความชั่วร้าย ส่วนทางฝั่งตะวันออก เช่น รัฐเบงกอลตะวันตก ชาวบ้านจะประกอบพิธีบูชาพระแม่กาลี เทพีแห่งพลังและการปกป้อง ซึ่งเป็นเทพเจ้าสำคัญของชาวเบงกาลี ขณะที่บางครอบครัวในอินเดียเชื่อว่าดีปาวลีเป็นวันระลึกถึงการอภิเษกสมรสระหว่างพระแม่ลักษมี เทพีแห่งความมั่งคั่ง กับพระนารายณ์ หรือบางแห่งถือว่าเป็นวันประสูติของพระแม่ลักษมีเอง
สำหรับประเทศไทย ดิวาลีไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะไทยและอินเดียมีสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมยาวนานนับพันปี ทั้งในด้านศาสนา ศิลปะ ภาษา และวรรณคดี โดยเฉพาะ “รามเกียรติ์” ของไทยที่มีรากจากรามายณะของอินเดีย ปัจจุบัน ชุมชนชาวอินเดียในกรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต ต่างจัดงานดิวาลีอย่างคึกคักทุกปี สำหรับปีนี้ หนึ่งในงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ “Amazing Thailand Grand Diwali Festival 2025” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 – 20 ตุลาคม 2568 ที่ย่านคลองโอ่งอ่าง–พาหุรัด ก่อนถึงวันดิวาลีจริงเพียงไม่กี่วัน เพื่อร่วมต้อนรับเทศกาลแห่งแสงสว่างอันเป็นสิริมงคล โดยพื้นที่งานถูกเนรมิตให้สว่างไสวด้วยแสงไฟระยิบระยับ ดึงดูดผู้คนจำนวนมากมาร่วมชมการแสดงวัฒนธรรมไทย–อินเดีย การรำบูชาเทพเจ้า พิธีบูชาพระแม่ลักษมีและพระพิฆเนศ การเพ้นต์เฮนน่า รวมถึงการชิมอาหารและขนมอินเดียที่หอมหวานละมุน สะท้อนการผสมผสานวัฒนธรรมสองชาติได้อย่างงดงาม
การเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลีของชาวอินเดีย ถือเป็นหนึ่งในงานรื่นเริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นชนชาติแห่งเทศกาล โดยทั่วไป ดิวาลีจะจัดต่อเนื่องราว 5 วัน แต่ด้วยความหลากหลายทางความเชื่อและประเพณี แต่ละรัฐและแต่ละครอบครัวก็อาจเฉลิมฉลองแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 2–5 วัน หรือบางพื้นที่ก็ยาวนานถึงหนึ่งสัปดาห์ ช่วงเทศกาลนี้ บ้านเรือนจะประดับไปด้วยโคมไฟ ดอกไม้ และแสงเทียน ผู้คนแต่งกายด้วยชุดใหม่ ทำความสะอาดบ้าน เตรียมขนมหวานแบบอินเดีย เช่น ลาดดู (Ladoo) และบูร์ฟี (Barfi) เพื่อมอบให้กันเป็นสิริมงคล พร้อมจุดพลุเฉลิมฉลองทั่วเมือง ถือเป็นช่วงเวลาที่อบอวลด้วยพลังแห่งความสุขและศรัทธา
นอกจากนี้ ดิวาลียังเป็นช่วงเวลาแห่งความอบอุ่นของครอบครัว ลูกหลานจะเดินทางกลับบ้านเพื่ออยู่พร้อมหน้ากับพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ ร่วมบูชาเทพเจ้า แบ่งปันของขวัญ และเฉลิมฉลองร่วมกันในบรรยากาศแห่งความรักและความกตัญญู
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว งานดิวาลีในอินเดียมักเน้นพิธีกรรมทางศาสนาและเวลาของครอบครัว ส่วนในประเทศไทยเป็นการเฉลิมฉลองเชิงวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง เชื่อมโยงผู้คนหลากหลายเชื้อชาติผ่านศิลปะ ดนตรี และมิตรภาพระหว่างสองประเทศ
ดิวาลีจึงไม่เพียงเป็นเทศกาลแห่งศรัทธา หากยังเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคน “จุดแสงในใจตนเอง” ไม่ว่าจะเป็นแสงแห่งเมตตา ความจริงใจ หรือแสงแห่งสติที่ส่องนำทางในชีวิต เหมือนที่ชาวอินเดียเชื่อว่าการจุดประทีปแต่ละดวง ไม่เพียงส่องสว่างภายนอก แต่ยังช่วยขจัดความมืดในใจมนุษย์ได้ด้วย
ผู้เขียนหวังว่า แสงแห่งเทศกาลดิวาลีในปีนี้ ซึ่งเป็นแสงแห่งชัยชนะของความดีเหนือความชั่ว จะช่วยเปล่งประกายขับความมืดในใจของทุกคนให้เลือนหาย เปิดทางให้ความหวังและมิตรภาพอันงดงามเบ่งบานในใจของผู้คนทั่วโลก และเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดี ๆ ใหม่ ๆ ที่เป็นสิริมงคลในปีนี้







