กำไรอุตสาหกรรมจีนพุ่ง 21.6% สูงสุดรอบ 2 ปี หลังหยุด ‘สงครามราคา’ หนุนผู้ผลิต

กำไรของบริษัทภาคอุตสาหกรรมของจีน เดือนก.ย. พุ่ง 21.6%สูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี หลังรัฐบาลจีนใช้นโยบายหยุด ‘สงครามราคา’ หนุนผู้ผลิต
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยวันนี้ว่า กำไรบริษัทภาคอุตสาหกรรมของจีนพุ่งสูงขึ้นถึง 21.6% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นการเติบโตรายเดือนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2566 และเป็นสัญญาณบวกสำหรับภาคการผลิตของประเทศที่เผชิญกับภาวะเงินฝืดและความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐ
ข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี (ม.ค.-ก.ย.) กำไรของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เติบโตขึ้น 3.2%
รัฐบาลมุ่งยุติ ‘สงครามราคา’
หยู เหว่ยหนิง หัวหน้าฝ่ายสถิติของ NBS กล่าวว่า การผลิตด้านเทคโนโลยีขั้นสูงช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของกำไรโดยรวม โดยภาคส่วนนี้มีกำไรพุ่งขึ้นถึง 26.8% ในเดือนก.ย.
นอกจากนี้ การฟื้นตัวของผลกำไรส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจาก นโยบายของรัฐบาลจีนที่มุ่งลดการแข่งขันด้าน “ราคา” ที่รุนแรงในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งช่วยบรรเทาแรงกดดันต่อผู้ผลิต ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อในราคาผู้ผลิตที่ยืดเยื้อเข้าสู่ปีที่ 3
อย่างไรก็ดี แม้ตัวเลขกำไรภาคอุตสาหกรรมจะแข็งแกร่งเกินคาด แต่เศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่หดตัวอย่างไม่คาดคิด 0.5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี
ทีมเศรษฐศาสตร์ของ Nomura คาดการณ์ว่า การเติบโตของการค้าจะชะลอตัวลงในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 “เราคาดว่าการเติบโตของการส่งออกจะชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 4...เนื่องมาจากฐานที่สูงและอุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก”
ตัวเลขกำไรที่ยืดหยุ่นนี้แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลจีนอาจไม่เห็นความเร่งด่วนมากนัก ในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตประมาณ 5% สำหรับปีนี้
หลุยส์ ลู หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์เอเชียของ Oxford Economics กล่าวว่า แม้ผู้กำหนดนโยบายจะกล่าวถึงการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศและการยกระดับคุณภาพชีวิต แต่การเน้นย้ำที่การพัฒนาเทคโนโลยีและการยกระดับขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมมีน้ำหนักมากกว่า
“สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ว่าผู้กำหนดนโยบายจะตระหนักถึงความเชื่อมั่นของครัวเรือนที่อ่อนแอและการออมที่มากเกินไป แต่พวกเขาไม่ได้คาดการณ์ถึงการกระตุ้นการบริโภคในระดับใหญ่ในช่วง 5 ปีข้างหน้า”
อ้างอิง CNBC







