รู้จักประตูชัย ‘Arc de Trump’ นโยบายเปลี่ยนเมืองเป็นอนุสรณ์แห่งอำนาจ

รู้จักประตูชัย 'Arc de Trump' ที่ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะสร้างกลางกรุงวอชิงตัน ดีซี ประกาศศักดาอำนาจความยิ่งใหญ่ของสหรัฐภายใต้ 'Agenda 47' ท่ามกลางกระแสตอบรับเสียงแตกหนักสองขั้ว
ท่ามกลางการเมืองอเมริกันที่กำลังคุกรุ่น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนสร้างอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 250 ปีแห่งการประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ ในปี 2026 โครงการนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Independence Arch แต่สื่อมวลชนต่างเรียกติดปากว่า “Arc de Trump”
โครงการถูกเปิดตัวในงานเลี้ยงผู้บริจาคที่ทำเนียบขาว ทรัมป์ถือแบบจำลอง 3 ขนาดในมือ ก่อนจะบอกผู้ร่วมงานว่าเขาชอบ “ขนาดใหญ่ที่สุด” ประโยคสั้น ๆ ที่สะท้อนบุคลิกของผู้นำที่เชื่อว่าความยิ่งใหญ่คือพลังทางการเมือง
แต่เบื้องหลังประตูชัยแห่งทรัมป์ ไม่ได้เป็นเพียงสถาปัตยกรรมเชิงสัญลักษณ์ หากเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ เรียกว่า “Agenda 47” กรอบนโยบายพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ที่มุ่งสร้างเมืองแห่งอิสรภาพ (Freedom Cities) บนที่ดินของรัฐบาลกลาง พร้อมปฏิรูประบบการใช้พื้นที่ การคมนาคม และสิ่งแวดล้อมทั่วประเทศ
เมืองในฐานะเครื่องมือเสริมอำนาจ
Agenda 47 ต่อยอดจากแนวคิด Make America Great Again โดยย้ายความหมายของ “ความยิ่งใหญ่” จากสนามการค้าระหว่างประเทศมาสู่นโยบายพัฒนาเมือง ทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐฯ ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่สะท้อนพลังของชาติ พร้อมสร้างเมืองใหม่ 10 แห่งบนที่ดินของรัฐ ให้กลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และการอยู่อาศัยราคาย่อมเยา ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แนวคิด Freedom Cities ที่เขาอธิบายว่าเป็นพื้นที่ซึ่งคนอเมริกันจะได้เริ่มต้นใหม่อย่างเสรี
ในทางปฏิบัติ นโยบายนี้เน้นการลดกฎระเบียบของรัฐบาลกลาง เปิดทางให้เอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านถนน พลังงาน รวมถึงสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ แทนการลงทุนในระบบขนส่งสาธารณะหรือโครงการสิ่งแวดล้อม ที่เคยเป็นหัวใจสำคัญในยุคไบเดน นักวางผังเมืองบางคนเรียกแนวทางนี้ว่า Trumpian Urbanism หรือเมืองที่สร้างเพื่อความหมายมากกว่าการใช้งาน
Arc de Trump ประตูชัยในผังเมืองใหม่
ตามแบบจำลองที่เผยแพร่ Arc de Trump จะมีความสูงราว 30 เมตร ตั้งอยู่บริเวณวงเวียน Memorial Circle ฝั่งเวอร์จิเนีย ตรงข้าม Lincoln Memorial บนยอดของประตูชัยจะประดับรูปสตรีทองคำ สื่อถึงชัยชนะและเสรีภาพ ในสไตล์เดียวกับ Arc de Triomphe แห่งปารีส
ทรัมป์ให้เหตุผลว่า “ทุกครั้งที่ใครขับรถข้ามสะพาน Arlington เข้าสู่เมือง ทุกคนต่างรู้สึกว่ามันควรจะมีอะไรอยู่ตรงนี้” เขาจึงต้องการเติมเต็มช่องว่างทางสัญลักษณ์ของเมืองหลวงด้วยโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่พอจะกลายเป็นจุดหมายระดับโลก
แม้ยังไม่มีรายละเอียดเรื่องงบประมาณและกำหนดการก่อสร้างที่ชัดเจน แต่ทรัมป์ระบุว่าอาจใช้เงินส่วนเกินจากโครงการสร้างห้องบอลรูมใหม่ในทำเนียบขาว ซึ่งใช้เงินบริจาคเอกชนกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ วิธีนี้สะท้อนแนวทาง Public–Private Funding ที่ให้ภาคเอกชนมีบทบาทสูงกว่ารัฐ
เสียงสะท้อนจากสังคมอเมริกัน
กระแสตอบรับของ Arc de Trump แบ่งออกเป็นสองขั้วชัดเจน ฝ่ายสนับสนุนมองว่าเป็นโครงการที่กล้าหาญและสร้างแรงบันดาลใจ การมีสัญลักษณ์ใหม่ในเมืองหลวงอาจช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว สร้างงาน และตอกย้ำภาพความเป็นผู้นำของประเทศในเวทีโลก แต่ฝ่ายคัดค้านกลับเห็นว่า โครงการนี้สะท้อนความทะเยอทะยานส่วนบุคคลของทรัมป์ มากกว่าความต้องการของสังคม
หลายเสียงตั้งคำถามถึงตำแหน่งที่ตั้งซึ่งอาจบดบังแนวสายตาระหว่าง Lincoln MemorialและArlington House แกนสัญลักษณ์แห่งการปรองดองหลังสงครามกลางเมือง นักอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมออกโรงเตือนว่า การเพิ่มประตูชัยส่วนตัวลงในพื้นที่ที่เปี่ยมความหมายทางประวัติศาสตร์ อาจบิดเบือนเจตนารมณ์เดิมของผังเมืองวอชิงตัน
นักเศรษฐศาสตร์เมืองยังชี้ว่า การสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ด้วยทุนเอกชนอาจตอกย้ำแนวโน้มเมืองเพื่อชนชั้นนำมากกว่าเมืองของประชาชน เพราะพื้นที่เช่นนี้มักกลายเป็นเพียงจุดถ่ายภาพ ไม่ใช่พื้นที่สาธารณะจริง ขณะที่นักสิ่งแวดล้อมเตือนว่า การสร้างสัญลักษณ์ใหม่โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบเชิงระบบ อาจสวนทางกับแนวโน้ม Green Urbanism ที่เมืองใหญ่ทั่วโลกกำลังมุ่งไป
ในมุมมองของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Arc de Trump เป็นตัวอย่างของ Symbolic Development คือ การสร้างเศรษฐกิจจากสัญลักษณ์และภาพลักษณ์ ซึ่งมีทั้งพลังและความเสี่ยง เมืองอาจได้แลนด์มาร์กใหม่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ก็อาจกลายเป็น “อนุสรณ์ไร้ชีวิต” หากไม่เชื่อมโยงกับชีวิตผู้คนในเมืองได้จริง สิ่งที่ต้องจับตา จึงไม่ใช่แค่รูปร่างของประตูชัย แต่คือแนวทางการพัฒนาเมืองที่กำลังเปลี่ยนจาก “เมืองที่อยู่ได้” ไปสู่ “เมืองที่ดูดี”
ในวันที่เมืองทั่วโลกแข่งขันกันด้วยนวัตกรรม คุณภาพชีวิต และความยั่งยืน การกลับมาสร้าง “สัญลักษณ์แห่งอำนาจ” อาจดูย้อนยุค แต่ก็สะท้อนแนวคิดที่ไม่เคยเลือนหายจากการเมืองโลก ว่า เมืองคือเวทีที่ผู้นำใช้ประกาศตัวตน







