คาดหวังอะไร ในประชุมอาเซียนซัมมิต ครั้งที่ 47 ที่มาเลเซีย

คาดหวังอะไร ในประชุมอาเซียนซัมมิต ครั้งที่ 47 ที่มาเลเซีย

การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ที่มาเลเซีย ถือมีความสำคัญอีกครั้ง ในการปรากฏตัวผู้นำมหาอำนาจโลก และเป็นอีกไม่กี่ครั้งที่มีประเด็นเกี่ยวกับไทยโดยตรงต้องจับตา

มีผู้นำโลกจะมารวมตัวกันที่มาเลเซียในเร็วๆนี้ เพื่อร่วมการประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียนซัมมิท ในรอบผู้นำครั้งที่สองของปี 2025 และการประชุมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเปิดฉากในวันอาทิตย์ (26 ต.ค.) อาจถือว่าได้ว่า มีความสำคัญที่สุดในรอบหลายปี

ผู้นำโลกที่จะบินมายังกัวลาลัมเปอร์ เพื่อร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงของจีน นายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิของญี่ปุ่นที่เพิ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีอี แจ-มยองของเกาหลีใต้ และประธานาธิบดีลูอิซ อินาชิโอ ลูลา ดา ซิลวาของบราซิล รวมถึงผู้นำแอฟริกาใต้ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ขณะที่นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี ยืนยันว่าจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดครั้งนี้ทางออนไลน์

การประชุมสุดยอดครั้งนี้ ยังเป็นการประชุมท่ามกลางเหตุการณ์สำคัญมากที่สุดในรอบหลายปี โดยคาดว่า อาเซียนจะรับติมอร์-เลสเตเข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ 11 ซึ่งถือเป็นการขยายสมาชิกครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1999  นอกจากนี้ การประชุมครั้งนี้ยังจะมีวาระการประชุมที่แน่นขนัดเป็นพิเศษ

นอกจากการมุ่งเน้นบูรณาการทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องแล้ว การประชุมยังจะพิจารณาถึงสงครามกลางเมืองในเมียนมา ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ การแข่งขันระหว่างสหรัฐ-จีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการค้าระหว่างประเทศ สถานการณ์ในฉนวนกาซา และการเพิ่มขึ้นของสแกมเมอร์ออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างน่าตกใจ

คำถามสำคัญที่สุดของการประชุมสุดยอดครั้งนี้คือ ทรัมป์จะเข้าร่วมด้วยหรือไม่ ซึ่งเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมของมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนหมุนเวียนปี 2025 ยืนยันแล้วว่าประธานาธิบดีสหรัฐได้ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวไม่ยืนยันเรื่องนี้จนกระทั่งวานนี้ (23 ต.ค.) โฆษกทำเนียบขาว แคโรไลน์ เลวิตต์ ประกาศว่าทรัมป์จะเดินทางออกจากวอชิงตันไปยังมาเลเซียในคืนวันศุกร์ เขาจะพบกับอันวาร์และเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของผู้นำอาเซียนในวันอาทิตย์ (26 ต.ค.) ก่อนที่จะบินไปยังญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยทรัมป์จะกล่าวปราศรัยในการประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ในวันที่ 30 ตุลาคม และพบกับสีจิ้นผิง ผู้นำจีน

ลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา

ดูเหมือนความสนใจของทรัมป์ในการเดินทางไปเยือนมาเลเซียนั้น ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่อาเซียนโดยตรง แต่มุ่งเป้าไปที่โอกาสการเป็นประธานพิธีลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อยุติข้อพิพาทชายแดนที่ยังคงดำเนินอยู่ ตามที่เกิดเหตุปะทุขึ้นเป็นความขัดแย้งนาน 5 วันในเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 42 ราย และทำให้มีผู้พลัดถิ่นประมาณ 300,000 คน

สำนักข่าว Politico รายงานเมื่อต้นเดือนนี้ว่า ทรัมป์จะเดินทางไปกัวลาลัมเปอร์ก็ต่อเมื่อเขาสามารถเป็นประธานลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชาได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทั้งสองประเทศถูกผลักดันให้เร่งรีบทำข้อตกลงนี้ (เขายังได้ขอให้เจ้าหน้าที่จีนถูกห้ามเข้าร่วมพิธีด้วย แม้ยังต้องรอดูว่า มาเลเซียจะยอมรับข้อเรียกร้องนี้หรือไม่)

หลังจากได้เครดิตไปว่า สามารถผลักดันให้ทั้งสองประเทศตกลงหยุดยิงในวันที่ 28 กรกฎาคมได้ ตามมีรายงานว่า ทรัมป์ขู่ทั้งสองประเทศจะขึ้นภาษีนำเข้า และคาดว่าทรัมป์หวังจะใช้พิธีนี้ เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของเขาในฐานะ “ผู้สร้างสันติภาพ” ระหว่างประเทศ

เมื่อพิจารณาจากแผนกำหนดการเดินทางของทรัมป์ที่วางไว้ ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) ครั้งที่ 20 ในปีนี้ ซึ่งจัดขึ้นในวันจันทร์จะมาถึง (27 ต.ค.) ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่เขามีกำหนดบินไปญี่ปุ่น นอกจากนี้ เลวิตต์ก็ไม่ได้ยืนยันว่า ทรัมป์จะเข้าร่วมการประชุมอื่นๆ ในระหว่างอยู่ในมาเลเซียหรือไม่

โจแอนน์ หลิน ผู้ประสานงานศูนย์ศึกษาอาเซียนแห่งสถาบัน ISEAS–Yusof Ishak ในสิงคโปร์ กล่าวกับชาแนลนิวส์ เอเชียว่า การเยือนของทรัมป์ “ดูเหมือนจะเป็นเชิงสัญลักษณ์มากกว่าเชิงยุทธศาสตร์” หากการเยือนครั้งนี้ไม่ได้มีการกำหนดกรอบนโยบายที่ชัดเจน การจัดหาเงินทุนเพื่อการพัฒนา หรือมีส่วนร่วมทางการทูตที่ส่งผลระยะยาว ก็เหมือนตั้งใจจัดอีเวนต์ขึ้นพิเศษ

ความเสี่ยงที่มีต่ออันวาร์คือ โรงละครทางการทูตของทรัมป์ และความคาดหวังอาเซียนควร "แสดงการยอมรับอย่างเป็นทางการถึงบทบาทและความเกี่ยวข้องของเขา" ตามที่เฮือง เล ทู จากกลุ่มวิกฤตการณ์ระหว่างประเทศกล่าวไว้ ซึ่งจะบดบังการประชุมสุดยอดอาเซียน เช่นเดียวกับเตรียมการก่อนการประชุมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์

การแข่งขันการค้าสหรัฐกับจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประเทศสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่ต้องการหลีกเลี่ยงการเลือกระหว่างวอชิงตันและปักกิ่ง แต่ดังที่ข้อเรียกร้องของทรัมป์ที่ให้เจ้าหน้าที่จีนถูกแยกออกจากพิธีลงนามสันติภาพของเขา แสดงให้เห็นมีหลายหนทางที่กลุ่มอาเซียน และประเทศสมาชิกถูกบีบบังคับให้เลือก

สแกมเมอร์เขย่าเพื่อนบ้าน

ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งคือ อาชญากรรมข้ามชาติที่ โดยเฉพาะสแกมเมอร์ ซึ่งปัจจุบันทำให้เหยื่อสูญเสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี ก่อนที่การประชุมอาเซียนกำลังจะมาถึงนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้เกิดความร่วมมือที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนระหว่างรัฐบาลสหรัฐและสหราชอาณาจักร เพื่อปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์ที่เชื่อมโยงปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ของกัมพูชา

การดำเนินการดังกล่าวทำให้กระทรวงการคลังสหรัฐ ได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรบุคคลและนิติบุคคล 146 รายที่เกี่ยวข้องกับปรินซ์ ซึ่งรวมถึงเฉิน จื้อ ประธานบริหารวัย 37 ปี โดยกล่าวหาว่าบุคคลเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงทางไซเบอร์ การค้ามนุษย์ และการฟอกเงิน ปรินซ์ยังยึดบิตคอยน์ได้เกือบ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยระบุว่าเป็น "การริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา"

ด้วยสถานะหน้าที่ของปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ปต่อเศรษฐกิจของกัมพูชา มาตรการคว่ำบาตรจึงยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กัมพูชา ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อจัดการกับภัยสแกมเมอร์ที่แผ่ขยายไปทั่วประเทศ  ซึ่งผลกระทบยังลุกลามมายังประเทศไทย โดยไม่ว่าปัญหานี้จะได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังภายในอาเซียนหรือไม่ แรงกดดันจากภายนอกก็กำลังก่อตัวขึ้น

อ้างอิง The Diplomat