วิกฤติ 'ธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่น' แห่ขายกิจการ ทุนนอกฉวยโอกาส กวาดซื้อราคาถูก

วิกฤติ ‘ธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่น’ ไร้ทายาทสืบทอด แถมภาษีมรดกสูงลิ่ว แห่เทขายกิจการให้ ‘ไพรเวท อิควิตี้’ ด้านทุนต่างชาติรุกคืบ กวาดซื้อช่วงราคาถูก อานิสงส์ ‘เยนอ่อนค่า-ดอกเบี้ยต่ำ’
“ธุรกิจครอบครัว” ซึ่งเป็นรากฐานของ เศรษฐกิจญี่ปุ่น กำลังเผชิญกับระเบิดเวลาประชากรและวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญ นั่นคือการขาดแคลนผู้สืบทอดกิจการ ทำให้ทางเลือกที่เคยเป็นข้อห้ามอย่าง "การขายกิจการให้กับบริษัททุนเอกชน" หรือ ไพรเวท อิควิตี้ กลายเป็นทางรอด ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติก็กำลังกวาดซื้อสินทรัพย์ญี่ปุ่นในช่วงที่มูลค่าถูกลง
วิกฤติสืบทอดกิจการ ขาดทายาท-ภาษีมรดกสูงลิ่ว
ตามรายงานของ World Economic Forum ในปี 2568 คาดว่าเจ้าของธุรกิจ SMEs วัย 70 ปีขึ้นไปประมาณ 1.27 ล้านราย จะไม่มีผู้สืบทอดกิจการ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของบริษัทญี่ปุ่นทั้งหมด โดยวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของญี่ปุ่นมากกว่า 90% เป็นธุรกิจครอบครัว
ปัญหานี้ทวีความรุนแรงขึ้นด้วยอัตราภาษีมรดกของญี่ปุ่นที่สูงลิ่วถึง 55% ซึ่งมากที่สุดในโลก จึงเป็นภาระที่หนักอึ้งของทายานหากจะรับช่วงต่อ โดยภาษีนี้ต้องชำระภายใน 10 เดือนหลังจากเสียชีวิต ทำให้ทายาทบางรายต้องรีบขายทรัพย์สินเพื่อหาเงินสด ดังนั้น การขายทรัพย์สินให้กับบริษัทไพรเวทอิควิตี้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
จุน สึซากะ ซีอีโอของบริษัทลงทุนญี่ปุ่น นิปปอน ซังเกียว ซุยชิน คิโกะ เล่าถึงกรณีที่เจ้าของวัย 61 ปีต้องขายธุรกิจเพราะ "ผมทำงานหนัก แต่ลูกๆ ของผมไม่อยากรับช่วงต่อธุรกิจของผม"
'ทุนต่างชาติ' กวาดซื้อธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่น
เมื่อสิบปีก่อน การขายหุ้นให้กองทุนต่างชาติเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในความคิดของเหล่าซีอีโอ และไม่เห็นว่าการขายหุ้นเป็นทางเลือก แต่ซีอีโอญี่ปุ่นเริ่มจากการพิจารณานักลงทุนในประเทศและนำไปสู่การพิจารณานักลงทุนต่างชาติ
ข้อมูลจากนอยเบอร์เกอร์ เบอร์แมน (Neuberger Berman) ชี้ว่า ปัจจุบันข้อตกลงการซื้อกิจการญี่ปุ่น มากกว่า 65% เกิดจากคดีการสืบทอดกิจการ
ไคล์ วอลเตอร์ส นักวิเคราะห์จากพิทช์บุ๊ค ยืนยันว่า "การขาดการสืบทอดกิจการและประชากรสูงอายุของญี่ปุ่นเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของไพรเวทอิควิตี้ในประเทศ"
รวมทั้ง การเปลี่ยนแปลงทัศนคตินี้ได้รับแรงหนุนจากความสำเร็จของไพรเวทอิควิตี้ระดับโลกเช่น ความสำเร็จในการพลิกฟื้นธุรกิจของยักษ์ใหญ่ต่างชาติของ KKR, Carlyle และ Bain ได้คลายความกังวลว่าไพรเวทอิควิตี้จะทำลายบริษัท
KKR คือตัวอย่างที่ชัดเจน ของบริษัทไพรเวทอิควิตี้ที่เข้าซื้อหุ้น 80% ใน พานาโซนิค ในปี 2556 และพลิกโฉมเป็นพีเอชซี โฮลดิ้งส์ จนสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 2564
วิกฤตการณ์นี้ได้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญให้ตลาดไพรเวทอิควิตี้ญี่ปุ่นเติบโตอย่างร้อนแรง ข้อมูลจาก Bain & Co. ระบุว่า มูลค่าการซื้อขายหุ้นเอกชนทะลุ 3 ล้านล้านเยน ติดต่อกัน 4 ปีแล้ว เนื่องจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า และอัตราดอกเบี้ยต่ำ ได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ จาก 3 ปัจจัยหนุน
1. การปฏิรูปกฎหมายและแรงกดดันจากตลาด
จิม เวอร์บีเทน หุ้นส่วนของ Bain & Co. อธิบายว่า การปฏิรูปกฎระเบียบของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2558-2559 เป็นตัวช่วยสำคัญ โดยรัฐบาลได้นำมาตรการสำคัญมาใช้ เช่น การบังคับให้มีกรรมการภายนอก และการที่ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวกดดันให้บริษัทต่าง ๆ ปรับปรุงผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ทำให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องพิจารณาขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและปลดปล่อยเงินทุน นอกจากนี้ นักลงทุนเชิงรุกยังกดดันให้บริษัทที่มีผลงานไม่ดีหันไปพิจารณาการลงทุนจากไพรเวทอิควิตี้มากขึ้น
2. ปัจจัยมหภาคและค่าเงินเยนอ่อนค่า
เรียว โอฮิระ จาก Neuberger Berman ชี้ว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคมีบทบาทสำคัญ เนื่องจาก ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง โดยปีนี้ค่าเงินเยอ่อนค่าลงเกือบ 4% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ทำให้สินทรัพย์ญี่ปุ่นมีราคาถูกลงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ นักลงทุนในกองทุนไพรเวทอิควิตี้ทั่วโลกก็มีความต้องการลงทุนในญี่ปุ่นมากขึ้น
3. ต้นทุนทางการเงินที่ดึงดูด
วอลเตอร์สเสริมว่า อัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นยังคงต่ำกว่าตลาดพัฒนาแล้วหลักอื่น ๆ อย่างมาก ทำให้การใช้เงินกู้ในการเข้าซื้อกิจการ ภายในประเทศญี่ปุ่นมีความน่าสนใจ และเป็นโอกาสที่ดีสำหรับบริษัทไพรเวทอิควิตี้ในการสร้างผลตอบแทน
แม้ว่าตลาดไพรเวทอิควิตี้ในญี่ปุ่นจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เตือนถึงความเสี่ยงที่จะเกิด "ภาวะร้อนแรงเกินไป"
จิม เวอร์บีเทน เตือนว่าเมื่อตลาดน่าสนใจเงินทุนจำนวนมากจะแห่เข้ามา ทำให้บริษัทไพรเวทอิควิตี้แข่งกันจ่ายในราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงปี 2549-2550 โดยในช่วงนั้น บริษัทต่าง ๆ เร่งลงทุนและจ่ายในราคาที่สูงมาก จนทำให้มูลค่าสินทรัพย์สูงเกินจริง และเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2551 การลงทุนเหล่านั้นส่วนใหญ่มีผลประกอบการต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก จนถูกเรียกว่าเป็น "ช่วงขาลง"
อย่างไรก็ตาม ตลาดไพรเวทอิควิตี้ญี่ปุ่นในปัจจุบันยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว เนื่องจากมูลค่าการลงทุนของไพรเวทอิควิตี้คิดเป็นเพียง 0.4% ของ GDP ญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาที่ 1.3% และยุโรปที่1.9% เวอร์บีเทนจึงสรุปว่า "ญี่ปุ่นยังคงเป็นตลาดที่กำลังเติบโต" และเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ที่ยังคงมีข้อตกลงที่คุ้มค่ารออยู่สำหรับบริษัทไพรเวทอิควิตี้ต่าง ๆ ในระยะยาว
อ้างอิง CNBC







