วงการมัทฉะก็มีของจีนแดง? ตัวแทรกในสถานการณ์มัทฉะญี่ปุ่นขาดตลาด

วงการมัทฉะก็มีของจีนแดง? ตัวแทรกในสถานการณ์มัทฉะญี่ปุ่นขาดตลาด

ไม่ว่ากลุ่มผู้ประกอบการในเมืองอูจิ จังหวัดเกียวโต จะใช้วิธีจำกัดโควต้าผู้ซื้อ หรือเพิ่มกำลังการผลิตโดยหันไปใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนโม่หิน ก็ดูจะไม่มีใครสามารถยับยั้งสถานการณ์ผงมัทฉะขาดตลาดได้แม้แต่น้อย 

ขนาดผู้ผลิตยักษ์ใหญ่อย่าง Ito En ยังต้องปิดรับการจองยาวไปจนถึงพฤษภาคม ปี 2026 เพราะสินค้าที่คงเหลือในคลัง (และที่อยู่ในไร่) ขณะนี้มีรายชื่อเจ้าของหมดแล้ว ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเก็บเกี่ยวด้วยซ้ำ

ราคาของผงมัทฉะเกรดพิธีการบางชนิดในญี่ปุ่นจึงพุ่งสูงขึ้นเป็น 2 เท่าตั้งแต่หลังกันยายน ปี 2025 เป็นต้นมา แน่นอนกว่าจะมาถึงตลาดในไทยมูลค่าก็ได้ถูกดันไปที่กิโลกรัมละ 18,000-20,000 บาทเป็นที่เรียบร้อย

จุดนี้คงไม่ต้องถามว่าในวันที่ออกสู่มือผู้บริโภครายย่อยตามร้านนั้น ราคาที่ผู้ค้าพึงพอใจจะขายคือกี่(ร้อย)บาท เผลอ ๆ แก้วละ 200-250 บาทอาจจะไม่มีให้เห็นไปอีกพักใหญ่ ๆ เพราะหากไม่ใช่ผู้เล่นระดับยักษ์ที่สามารถกักตุนในปริมาณมากก็ต้องแบกภาระต้นทุนอานทีเดียว

สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่ปัจจัยราคา เนื่องจากปัจจุบันการเพาะปลูกเท็นฉะ (แหล่งกำเนิดมัทฉะ) กลายเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญไปแล้ว

แค่เกียวโตและชิซุโอกะ 2 จังหวัดก็ได้รับงบประมาณอุดหนุนไปแล้วร่วม 2,000 ล้านเยนในปีที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมให้เพียงพอต่อความต้องการในตลาดโลกเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 6,000-7,000 ตัน

เกมปั่นราคาผงมัทฉะจึงมีแนวโน้มสุดเพดานภายในไม่เกิน 3-4 ปีข้างหน้า เมื่อญี่ปุ่นสามารถแก้ไขปัญหาห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมผลิตผงมัทฉะ ไม่ว่าจะในมิติขาดแคลนแรงงาน จำนวนพื้นที่เพาะปลูก และเครื่องจักร 

แต่อย่างที่ทราบกันดี การที่ญี่ปุ่นประสบปัญหาชะงักงันในการเติมคลังสินค้า ย่อมมีผู้เล่นรายใหม่ เช่น จีน สบโอกาสแทรกตัวเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด

โดยในระยะเวลาเพียง 5 ปี ทั้งมณฑลกุ้ยโจว เจ้อเจียงและหูเป่ยกลายเป็นผู้ผลิตผงมัทฉะได้รวมมากกว่า 5,000 ตัน/ปี 

กระนั้นเรื่องคุณภาพคงเทียบเจ้าตลาดอย่างญี่ปุ่นไม่ได้ เกษตรกรในจีนเพิ่งถูกวิจารณ์อย่างหนักถึงการเอาสีสังเคราะห์และคลอโรฟิลล์มาใช้ย้อมใบมัทฉะอยู่เลย

ส่วนในด้านรสชาตินั้นยิ่งแล้วใหญ่ แม้เป็นเกรดส่งออกระดับพรีเมียมเหมือนกัน แต่จะคาดหวังให้มีความอูมามิและรสสัมผัสเฉพาะแบบเดียวกับที่ผลิตในญี่ปุ่นคงแทบเป็นไปไม่ได้

แน่นอนในแวดวงผู้ประกอบการคาเฟ่มัทฉะ คงมีน้อยคนที่จะกล้านำผงระดับพรีเมียมที่ได้จากไร่ในเจ้อเจียงมาย้อมแมวขายให้ลูกค้า เพื่อทำลายชื่อเสียงของตนเองง่าย ๆ อีกทั้งผงแต่ละกระปุกก็มีการระบุไว้ชัดเจนถึงแหล่งกำเนิด 

ทว่าโลกของนักธุรกิจนั้นไม่ได้สวยงามเสมอไป การที่ร้านค้ารายย่อย ณ ปลายน้ำไม่กล้าทำ ไม่ได้เป็นข้อบ่งชี้ว่าผู้ผลิตที่ต้นน้ำในเกียวโตจะไม่กล้าทำ 

กอปรกับช่วง 1-2 ปีมานี้เรื่องราวที่กลุ่มนักธุรกิจไทยมักได้ยินจากชาวไร่เท็นฉะขณะไปต่อแถวรอซื้อผงมัทฉะแถบอูจิ และชิซูโอกะ คือ เริ่มมีบางไร่ในญี่ปุ่นที่ลักไก่นำมัทฉะจากจีนเข้ามาผสมกับผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่นในสัดส่วนร้อยละ 5-10 เพื่อรองรับปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนบ้างแล้ว 

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ปริมาณดังว่านั้นมันน้อยมาก แม้แต่ผู้ค้าบางรายก็แทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง ส่วนผู้บริโภคจำนวนมากที่ไม่ได้เป็นขาประจำ หรือมีประสบการณ์ดื่มจนคุ้นเคยยิ่งไม่มีทางรู้ตัวแน่นอน 

อย่าลืมว่าหนึ่งในปลายทางของมัทฉะจีนที่ส่งออกไปต่างประเทศนั้นมีญี่ปุ่นรวมอยู่ในรายการด้วยปีละประมาณไม่เกิน 50 ตัน ซึ่งนิตยสารท้องถิ่นอธิบายว่าเป็นการนำเข้าเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารมากกว่าสำหรับดื่ม 

ประเด็นข้างต้นนี้ถึงเป็นเพียงข่าวซุบซิบจากสังคมชาวไร่ในญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ถึงขนาดเกินความเป็นไปได้เสียทีเดียว คณิตศาสตร์พื้นฐานผงมัทฉะ Unmori กิโลกรัมละ 6,000 บาท 

ถ้าชาวไร่ที่ญี่ปุ่นเจ้าเล่ห์นำผงจากไร่ในกุ้ยโจวที่พรีเมียมผ่านมาตรฐานการส่งออกเหมือนกัน แต่กิโลกรัมละไม่ถึง 4,000 บาทมาผสม สามารถลดต้นทุนไปได้ตั้งเท่าไร? จีนจะ Disrupt วงการมัทฉะได้ไหมนั้นคงไม่ใช่ในอนาคตอันใกล้ 

แต่กรณีผงมัทฉะจากจีนจะถูกนำไปใช้เป็นส่วนประกอบเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในตลาดส่งออกของญี่ปุ่นช่วง 1-2 ปีนี้ถือว่าหนาหูอยู่ชอบกล 

ในฐานะผู้บริโภคที่รออยู่ปลายน้ำ ก็ได้แต่คาดหวังว่าซัพพลายเออร์ไทยที่อุตส่าห์เสียสละเวลาไปต่อแถวเหมาผงมัทฉะถึงประตูไร่ที่ญี่ปุ่น จะช่วยคัดเลือกแต่สินค้าจากเกษตรกรที่ไว้ใจได้เท่านั้น

เพราะคงไม่มีลูกค้ารายใดบ้าบิ่นพอจะบินไปไล่จับมือเจ้าของไร่แต่ละแห่งดมเพื่อตรวจสอบด้วยตัวเอง