‘แบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน’ อาวุธใหม่จีนใช้บีบสหรัฐ อเมริกาเสี่ยงสะดุดในศึก AI

‘แบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน’ อาวุธใหม่จีนใช้บีบสหรัฐ อเมริกาเสี่ยงสะดุดในศึก AI

จีนงัด ‘แบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน’ เป็นอาวุธใหม่ สกัดกั้นการเติบโตของเศรษฐกิจ AI สหรัฐ หลังครองห่วงโซ่อุปทานเกือบทั้งระบบ ตั้งแต่การผลิตถึงแปรรูป หากจีน ‘บีบซัพพลาย’ เพียงนิดเดียว ก็อาจทำให้ ‘พลังงานสำรอง’ ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ AI ของสหรัฐสะดุด และนี่จะกลายเป็นสมรภูมิพลังงานรอบใหม่ ที่จีนถือไพ่เหนือกว่าในด้านนี้

ท่ามกลางแรงบีบทางเศรษฐกิจจากสหรัฐ นอกจากอาวุธแร่หายากแล้ว จีนได้งัด “แบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน” มาเป็น “อาวุธใหม่” ในการตอบโต้ด้วย เนื่องจากจีนเห็นว่า สหรัฐกำลังเร่งวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาลและต้องพึ่งระบบกักเก็บไฟฟ้า ขณะเดียวกัน จีนก็ครอง “ห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมแบตเตอรี่โลก” เกือบทั้งหมด อันเป็นสิ่งที่สหรัฐขาดไม่ได้สำหรับ AI เช่นเดียวกับแร่หายาก

ด้วยเหตุนี้ จีนจึงออกข้อบังคับให้บริษัทจีน ต้องขอใบอนุญาตก่อนส่งออกวัตถุดิบสินค้าประเภทนี้ ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายนเป็นต้นไป

ข้อมูลจาก BloombergNEF ระบุว่า ปัจจุบันจีนครองกำลังการผลิตขั้วแบตเตอรี่แอโนดถึง 96% และแคโทดอีก 85% ของโลก ขณะที่กว่า 2 ใน 3 ของแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สหรัฐนำเข้า มาจาก “จีน” โดยตรง

ไม่เพียงเท่านั้น ศูนย์วิจัย Center on Economic and Financial Power เผยว่า จีนไม่ได้แค่ผลิตแบตเตอรี่ได้มากที่สุดในโลกที่สัดส่วน 80% แต่ยังควบคุมวัตถุดิบและกระบวนการผลิตทุกขั้นตอนที่จำเป็นต่อการทำแบตเตอรี่อีกด้วย โดยในด้าน “การแปรรูป” จีนก็ครองส่วนแบ่ง 80% ของลิเทียมโลก, 85% ของโคบอลต์เกรดแบตเตอรี่ และ 95% ของแกรไฟต์เกรดแบตเตอรี่

‘แบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน’ อาวุธใหม่จีนใช้บีบสหรัฐ อเมริกาเสี่ยงสะดุดในศึก AI

- แบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (ภาพ: Shutterstock) -

นี่จึงไม่ใช่เพียงนโยบายควบคุมการค้า แต่คือยุทธศาสตร์การถือครองอำนาจทางพลังงานของอนาคต เมื่อ “พลังงานสำรอง” กลายเป็นหัวใจของระบบเศรษฐกิจยุค AI

“เนื่องจากจีนมีอำนาจเหนือห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ จึงสามารถ ‘บีบแรง’ ได้ และบริษัทอเมริกันก็จะ ‘รู้สึกถึงผลกระทบนั้นได้อย่างรวดเร็ว’ ” แมทธิว เฮลส์ นักวิเคราะห์ด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทาน จาก BloombergNEF ให้ความเห็น

AI กระหายพลังงาน แบตเตอรี่กลายเป็นโลหิตเศรษฐกิจใหม่

ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลในสหรัฐเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว จากกระแส AI ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาลในการประมวลผล และคาดว่าจะ “เพิ่มขึ้นอีกสามเท่า” ภายในปี 2028 ตามรายงานของสถาบันวิทยาศาสตร์ Lawrence Berkeley National Laboratory

เพื่อรองรับความต้องการนั้น รัฐบาลและเอกชนสหรัฐเร่งลงทุนใน “แบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน” เพื่อเก็บไฟจากพลังงานหมุนเวียนและจ่ายคืนสู่ระบบในยามการใช้ไฟพีค โดยเฉพาะในรัฐเท็กซัส ซึ่งมีโครงการขนาดกว่า 4 กิกะวัตต์ มากพอสำหรับจ่ายไฟให้บ้านเรือนกว่า 3 ล้านหลัง

อย่างไรก็ตาม โรงงานในประเทศยังผลิตได้ไม่พอ และยังคงต้องนำเข้าวัตถุดิบจากจีนแทบทั้งหมด หากแหล่งซัพพลายนี้สะดุด ก็อาจกลายเป็น “คอขวดพลังงาน” ที่ชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจ AI สหรัฐโดยตรง นี่หมายความว่า ต่อให้สหรัฐมีเทคโนโลยี AI และจำนวนชิปสุดล้ำแบบเหลือเฟือ แต่หากไม่มีไฟฟ้าเพียงพอ ก็ยากที่จะขยายการเติบโต AI ในเชิงพาณิชย์ได้

“ในขณะที่การเติบโตของอุตสาหกรรม AI ของจีน ถูกจำกัดจากการเข้าถึงชิปขั้นสูงของสหรัฐ แต่สำหรับสหรัฐเอง ‘ข้อจำกัด’ อยู่ที่ ‘พลังงาน’ ซึ่งกำลังกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล AI” เอมิลี คิลครีส ผู้อำนวยการโครงการพลังงาน เศรษฐกิจ และความมั่นคง จากศูนย์ Center for a New American Security กล่าว

แบตเตอรี่ เสาหลัก AI สหรัฐที่ยังขาดจีนไม่ได้

สำหรับ “แบตเตอรี่ขนาดใหญ่” มีบทบาทในการกักเก็บพลังงานหมุนเวียนส่วนเกิน และปล่อยออกมาเมื่อระบบต้องการไฟฟ้า ซึ่งช่วยป้องกันเหตุไฟดับ และเสริมเสถียรภาพให้กับโครงข่ายไฟฟ้า

เมื่อสิบปีก่อน ระบบเหล่านี้แทบไม่มีอยู่เลยในสหรัฐ แต่ภายในปี 2024 การติดตั้งแบตเตอรี่ระดับสาธารณูปโภคของประเทศมีความจุรวมถึง 26 กิกะวัตต์แล้ว โดยไฟฟ้าขนาด 1 กิกะวัตต์ มากในระดับสามารถจ่ายไฟได้ประมาณ 800,000–1,000,000 ครัวเรือน

เฉพาะในรัฐเท็กซัสเพียงรัฐเดียว มีการติดตั้งแบตเตอรี่เพิ่มอีกประมาณ 4 กิกะวัตต์ในปีที่ผ่านมา มากพอที่จะจ่ายไฟให้บ้านเรือนราว 3 ล้านหลังคาเรือน

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก BNEF คาดว่า ภายในทศวรรษหน้า สหรัฐจะต้องเพิ่มกำลังการกักเก็บพลังงานอีก 136 กิกะวัตต์ทั่วประเทศ แต่นักวิเคราะห์แมทธิว เฮลส์ ระบุว่า ซัพพลายส่วนใหญ่เหล่านี้ ยังต้องพึ่งพาจีน และไม่สามารถหาทดแทนจากประเทศอื่นได้ง่าย ๆ

ขณะที่เซลินา มิโคลาซัก ผู้บริหารในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ ซึ่งเคยดูแลการผลิตให้กับบริษัท Tesla และ Panasonic ที่โรงงานผลิตขนาดยักษ์ในรัฐเนวาดา ระบุว่า

“โรงงานแบตเตอรี่จำนวนมากที่กำลังผุดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐ จะได้รับผลกระทบทั้งหมด เพราะวัตถุดิบหลักของพวกเขาก็มาจากจีนทั้งนั้น”

อย่างไรก็ตาม มาตรการจำกัดการส่งออกของจีน ก็อาจย้อนกลับมากระทบต่ออุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของตนเอง ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลหลายหมื่นล้านดอลลาร์เช่นกัน

เหตุผลเพราะในภาวะที่ตลาดภายในประเทศกำลังเผชิญ “ปัญหาการผลิตล้นเกิน” บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ของจีนจำนวนมากจึงต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งสหรัฐเป็นตลาดใหญ่ เพื่อระบายสินค้าส่วนเกินออกไป

“สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ยังไม่ชัดเจนว่า ปักกิ่งจะบังคับใช้นโยบายใหม่ได้จริงเพียงใด” ไบรอัน บิลล์ นักวิจัยด้านนโยบายและภูมิรัฐศาสตร์จาก Benchmark Mineral Intelligence ให้มุมมอง

‘ศึกแบตเตอรี่’ ไพ่ต่อรองใหม่ของปักกิ่ง

เบื้องหลังมาตรการนี้ ไม่ใช่แค่การคุมตลาด แต่คือ “การเตรียมไพ่ต่อรอง” ในการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างปักกิ่งและวอชิงตัน

ทรัมป์และสีจิ้นผิง มีกำหนดพบกันที่เกาหลีใต้ปลายเดือนนี้ เพื่อหารือข้อตกลงทางการค้า แต่หลังจีนประกาศข้อจำกัดชุดล่าสุด ทรัมป์ออกมาตอบโต้ทันทีว่า “ไม่มีเหตุผลที่จะเข้าร่วมการประชุมนี้” พร้อมขู่เก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 100%

แต่ต่อมา ปธน.ทรัมป์ก็ปรับโทนน้ำเสียงที่เคยแข็งกร้าวลง โดยกล่าวว่า ภาษีในอัตรา 100% ต่อจีนนั้นไม่ยั่งยืน พร้อมเผยว่ายังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อปธน.สี สหรัฐไม่ได้ต้องการทำลายจีน อีกทั้งชมชีวิตของสี จิ้นผิงว่า “น่าทำเป็นภาพยนตร์”

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า “แบตเตอรี่” กำลังกลายเป็น “แร่หายากยุคใหม่” ทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่ใครถือครองย่อมได้เปรียบในการต่อรอง

อิลาเรีย มัซซ็อกโก นักวิชาการด้านอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของจีน จากศูนย์ Center for Strategic and International Studies (CSIS) มองว่า จีนไม่ต้องการขายเทคโนโลยีหลักนี้ให้ใครอีกแล้ว และกำลังมุ่งวางตัวเป็น “อภิมหาอำนาจแบตเตอรี่” ของโลกในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

นอกจากนี้ มาตรการนี้อาจสะท้อนความมั่นใจของปักกิ่งว่า จีนอยู่ในจุดที่โลกขาดไม่ได้ แม้สหรัฐจะคุมตลาดชิป แต่จีนก็ถือ “กุญแจของพลังงาน” ที่สมอง AI ต้องใช้

อ้างอิง: bloombergnationbbcfortune