เวียดนามไม่หวั่นสงครามการค้า ตั้งเป้าจีดีพีโต 10% ปีหน้า

เวียดนามไม่หวั่นสงครามการค้า ตั้งเป้าจีดีพีโต 10% ปีหน้า

เวียดนามตั้งเป้าเติบโต 'เลขสองหลัก' จีดีพีจะโตเฉลี่ยอย่างน้อย 10% ตั้งแต่ปีหน้า 2569 แม้เผชิญแรงกดดันสงครามการค้า จะลุยทำ FTA กับหลายภูมิภาค เน้นดึงดูด FDI ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูง

นายกฯ เวียดนาม ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ (Pham Minh Chinh) กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า รัฐบาลจะตั้งเป้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDPเวียดนาม) ที่ระดับ อย่างน้อย 10% ในปี 2026 ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยระบุว่าเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ได้พิสูจน์แล้วว่ามีความแข็งแกร่ง แม้จะเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก

รอยเตอร์ส ระบุว่า การประชุมสมัชชาแห่งชาติ ครั้งนี้ซึ่งจะมีไปจนถึงวันที่ 11 ธ.ค. รวมถึงการลงมติแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญๆ ของรัฐบาล ก่อนการประชุมสมัชชาใหญ่ พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ในปีหน้า จะเป็นเวทีในการกำหนดยุทธศาสตร์ และนโยบายหลักของประเทศสำหรับอีก 5 ปีข้างหน้า

"ประเทศจะยังคงให้ความสำคัญกับการเร่งการเติบโต พร้อมกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค ควบคุมเงินเฟ้อ รักษาดุลเศรษฐกิจหลัก และจำกัดระดับหนี้สาธารณะ และการขาดดุลงบประมาณให้อยู่ในกรอบที่กำหนดไว้” นายกรัฐมนตรีแถลงต่อที่ประชุมสมัชชาแห่งชาติในกรุงฮานอย

เศรษฐกิจเวียดนาม จะขยายตัวมากกว่า 8% ในปีนี้ โดยตั้งเป้าเติบโตที่ 8.3–8.5% ในปี 2568 โดยเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ล่าสุดขยายตัวในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบ 3 ปี เนื่องจากโรงงานต่างๆ เร่งส่งออกสินค้าสู่ตลาดสหรัฐก่อนที่ภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นเดือนส.ค. 

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะเติบโตได้ประมาณ 6.6% ในปีนี้ ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินไว้ที่ 6.5%

ขณะที่นายฟาน วัน ไม ประธานคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจของสมัชชาแห่งชาติเวียดนาม กล่าวว่า เป้าหมายที่ทะเยอทะยานนี้ยังคงเป็นความท้าทาย เนื่องจาก “แรงขับเคลื่อนหลักอย่างการส่งออก การบริโภค และการลงทุน ยังไม่สร้างโมเมนตัมที่แข็งแกร่งเพียงพอ” 

“คาดว่าบริบทโลกจะยังคงผันผวน ซับซ้อน และยากจะคาดเดาได้ เนื่องจากการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างชาติมหาอำนาจทวีความรุนแรงขึ้น และความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ และแนวคิดปกป้องทางการค้ายังคงเพิ่มขึ้น” เขากล่าวเสริม

ไม่หวั่นแรงกดดันสงครามการค้า

“เศรษฐกิจเวียดนามได้พิสูจน์แล้วว่ามีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือกับแรงกระแทกจากภายนอก และยังคงเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก” ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ กล่าวต่อสมัชชาแห่งชาติ

นายกฯ เวียดนามยังกล่าวด้วยว่า มูลค่าการค้าสินค้าของเวียดนามคาดว่าจะสูงถึง 9 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2568 แม้จะได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐ 20% ที่ทำให้การส่งออกไปสหรัฐโดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มรองเท้า และสิ่งทอชะลอตัวลง 

ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เบิกจ่ายแล้วในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่า 1.88 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.5% จากปีก่อนหน้า

ทั้งนี้เวียดนามมีแผนจะลงนามข้อตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่ในปีหน้ากับประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา แอฟริกา และปากีสถาน เพื่อกระจายตลาดส่งออกของประเทศ 

บลูมเบิร์ก ระบุว่า เวียดนามพยายามกระจายตลาดส่งออก ขณะที่คณะผู้แทนเจรจาการค้ายังคงหารือเกี่ยวกับเงื่อนไขของข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ แม้ว่าภาษีซึ่งเคยขู่เอาไว้ที่ 46% จะถูกลดลงเหลือ 20% แต่สหรัฐก็ได้กำหนดภาษี Transshipment 40% สำหรับสินค้าจากประเทศอื่นที่ถูกมองว่าใช้เวียดนามเป็นทางผ่านไปสหรัฐ ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนเพิ่มเติมให้กับภาคธุรกิจ เนื่องจากรายละเอียดของมาตรการนี้ยังไม่ชัดเจน

นายกฯ เวียดนาม กล่าวด้วยว่า รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับ "การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศที่สอดคล้องกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูง" และมีเป้าหมายจะเริ่มการก่อสร้าง "โรงงานเซมิคอนดักเตอร์แห่งใหม่" ในปีหน้า แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าเป็นโรงงานประเภทใด

นอกจากนี้ เวียดนามตั้งเป้าจะเริ่มการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงสายเหนือ–ใต้ จะให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมภายในปีหน้า และจะเร่งขจัดอุปสรรคต่อการพัฒนาโครงการสำคัญ รวมถึงในภาคพลังงานหมุนเวียน และภาคอุตสาหกรรม โดยขณะนี้มีโครงการราว 3,000 แห่งที่รัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ และได้เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกระบวนการดังกล่าว

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์