iPhone 16 พยุงเศรษฐกิจสหรัฐ? | กันต์ เอี่ยมอินทรา

iPhone 16 พยุงเศรษฐกิจสหรัฐ? | กันต์ เอี่ยมอินทรา

iPhone คือแม่เหล็กดึงเงินเข้า Apple และ Apple ก็เป็นเครื่องจักรดูดเม็ดเงินเข้ามาในสหรัฐกว่า 3-4 แสนล้านดอลลาร์ในทุกๆ ปี ย้อนกลับมาที่ประเทศไทยโครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม ไม่มีนวัตกรรมที่จะเป็นคลื่นลูกใหม่

ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับคู่ค้าในหลายประเทศ โดยเฉพาะจีนและอินเดีย แต่ Apple ก็ไม่สนคลื่นลม ออก iPhone17 ที่ราคา 40,000-60,000 บาท

ถึงแม้ว่าส่วนประกอบหลายชิ้นจำต้องนำเข้ามาจากคู่ค้า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทจำเป็นต้องเลื่อนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ออกไป เพราะแท้จริงแล้ว สัดส่วนกำไรก็ถือว่าสูงอยู่ เคยมีการวิเคราะห์ต้นทุนที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์ว่าอยู่ที่ 400-700 ดอลลาร์โดยไม่รวมค่าการตลาด ค่าบริหารจัดการ ค่าบริหารช่องทางการจัดจำหน่าย ค่าพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขณะที่ราคาขายวิ่งอยู่ที่ 600-1000 ดอลลาร์ และนั่นคือกำไรที่ไม่น้อย

iPhone คือแม่เหล็กดึงเงินเข้า Apple โดยรายได้กว่า 2/3 ของทั้งบริษัทนั้นมาจากการขาย iPhone และบริษัท Apple ก็เป็นเครื่องจักรดูดเม็ดเงินเข้ามาในสหรัฐกว่า 3-4 แสนล้านดอลลาร์ในทุกๆ ปี หากจะเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้น บริษัทของคนไทยทั้งประเทศทำรายได้รวมกันกลายเป็น GDP ที่ 5.26 แสนล้านดอลลาร์ ดังนั้นจึงสามารถพูดได้ว่า Apple คือกลจักรที่ยิ่งใหญ่ที่มีพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างมาก

แต่ละปี Apple จ้างงานคนสหรัฐกว่า 2.9 ล้านคน ไม่รวมการจ้างงานนอกประเทศอีกมากมาย และเป็นหน่ึ่งในบริษัทที่จ่ายเงินภาษีเข้าคงคลังสหรัฐมากที่สุด หากรวมระยะเวลา 5 ปีล่าสุด Apple จ่ายภาษีให้รัฐแล้วมากถึง 75,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในไทยอย่าง ปตท. ส่งเงินเข้ารัฐที่ 72,793 ล้านบาท (ประมาณ 2,225 ล้านดอลลาร์)

หากมองในภาพกว้าง มีการประมาณการณ์ว่ามีคนใช้ iPhone ทั่วโลกกว่า 1,380 ล้านคน โดยถือเป็นสัดส่วนที่กินตลาดมือถือทั่วโลกประมาณ 23% ขณะที่ในสหรัฐ คนก็นิยม iPhone และซื้อใช้มากถึง 155 ล้านคน คิดเป็น 59% ของสัดส่วนตลาดการขายมือถือ

Apple เริ่มวางขาย iPhone ครั้งแรกในปี 2007 ทำให้รายได้บริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมาก และสัดส่วนของรายได้ส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็มาจาก iPhone จากเดิมที่เคยขายคอมพิวเตอร์ Apple ยังไม่หยุดและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค มีทั้งผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จและมีที่ล้มเหลว และกุญแจสำคัญก็คือการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง การลองของใหม่ แนวคิดที่ไม่จำเป็นจะต้องผลิตสินค้าที่สมบูรณ์แบบแต่ใช้เวลานานเกินไป

ย้อนกลับมาที่ประเทศไทยของเรา ปี 2007 คือปี 2550 นั่นคือ 1 ปีหลังรัฐประหารปี 2549 จนขณะนี้ทอดเวลามาถึงเกือบ 20 ปี โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม ไม่มีนวัตกรรมที่จะเป็นคลื่นลูกใหม่ บริษัทใหญ่ทำธุรกิจมุ่งเน้นกำไรในเซฟโซน (ซึ่งไม่ผิด) ไม่มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรม ไม่เน้น R&D ซึ่งไม่เป็นผลดีกับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวอย่างยิ่ง