IMF คาด 'เอเชีย' ยังมีโอกาสเติบโต แม้เผชิญ 'ภาษี-ความไม่แน่นอน'

IMF ประเมินว่าเศรษฐกิจเอเชียยังคงแข็งแกร่งและเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ปัจจัยที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจคือการเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีมีผล, การลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น, การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ
KEY
POINTS
- IMF ประเมินว่าเศรษฐกิจเอเชียยังคงแข็งแกร่งและเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
- ปัจจัยที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจคือการเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีมีผล, การลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น, การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ
- ความเสี่ยงสำคัญยังคงมาจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก, การยกระดับกำแพงภาษีของสหรัฐฯ, และปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน
- IMF แนะให้เอเชียหันมาพึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศมากขึ้น
รายงานล่าสุดของ IMF ในหัวข้อ Asia’s Economic Growth Is Weathering Tariffs and Uncertainty ซึ่งออกมาในวันที่ 16 ตุลาคม 2025 รายงานภาพรวมของประเทศในเอเซียว่า ในภาพรวมภูมิภาคนี้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น (resilient) ที่เหนือความคาดหมาย โดยได้รับแรงหนุนจากการเร่งส่งออกล่วงหน้า (a front-loading of exports) การลงทุนในเทคโนโลยี และการสนับสนุนนโยบายของรัฐ หากต้องการรักษาการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป เอเชียจำเป็นต้องปรับสมดุลไปสู่การพึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศมากขึ้น และเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียในปีหน้า คาดว่าจะทรงตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ แม้จะเผชิญกับอุปสงค์จากต่างประเทศที่อ่อนแรง ภาษีสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางนโยบาย
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าการเติบโตของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกคาดว่าจะชะลอตัวจาก 4.5% ในปีนี้ เหลือ 4.1% ในปีหน้า ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะยังอยู่ในระดับปานกลาง
- จีน: การเติบโตคาดว่าจะชะลอลงจาก 4.8% ในปี 2025 เหลือ 4.2% ในปี 2026
- ญี่ปุ่น: ชะลอลงจาก 1.1% ในปี 2025 เหลือ 0.6% ในปี 2026
- อินเดีย: ยังคงเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยคาดว่าจะขยายตัว 6.6% ในปี 2025 และ 6.2% ในปี 2026
- เกาหลีใต้: จะฟื้นตัวจาก 0.9% ในปี 2025 เป็น 1.8% ในปี 2026
- อาเซียน (ASEAN): จะขยายตัว 4.3% ต่อเนื่องในช่วง 2 ปีนี้
แม้เอเชียจะเป็นศูนย์กลางของการปรับนโยบายการค้าโลกใหม่ แต่ภูมิภาคนี้จะยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจโลก โดยคิดเป็น ประมาณ 60% ของการเติบโตทั่วโลกในปีนี้และปีหน้า ผลจากสงครามการค้ายังคงได้รับผลกระทบที่ไม่มากนักจากหลายปัจจัย เช่น การเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีใหม่ การลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มากกว่าที่คาดไว้ การปรับoโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในภูมิภาค และการผ่อนคลายนโยบายการเงินในบางประเทศ
ความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจประเทศในเอเซีย
แม้เศรษฐกิจจะยังดีกว่าที่คาดการณ์แต่ภาพรวมของเศรษฐกิจเอเซียยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ เช่น การยกระดับภาษีสหรัฐฯ หรือข้อจำกัดกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (rules-of-origin) เพื่อป้องกันการเป็นประเทศทางผ่านสินค้า (transshipment) ความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้น
อย่างไรก็ตามการค้าระหว่างประเทศยังเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นอัตราภาษีรวมให้สูงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ แม้จะมีการทำข้อตกลง หรือการยกเลิกบางส่วนเป็นระยะ แต่ผู้ส่งออกจำนวนมากจึงเร่งส่งสินค้าออกก่อนมาตรการมีผล ส่งผลให้การส่งออกในไตรมาสแรกพุ่งสูงก่อนชะลอตัวลง
การเปลี่ยนแปลงภายในภูมิภาคและความท้าทายในระยะกลาง
นอกจากนี้บทเรียนจากมาตรการภาษีในปี 2018 ได้ผลักดันให้เกิดการย้ายฐานการผลิตและการจัดหาวัตถุดิบภายในภูมิภาคมากขึ้น โดยมีสัดส่วนสินค้าขั้นกลางที่ส่งไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และศูนย์กลางอื่น ๆ เพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับการขยายตัวของการค้าในภูมิภาค นอกจากนี้เศรษฐกิจที่ได้รับแรงหนุนจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังส่งผลให้การส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงจากประเทศอย่างเกาหลีและญี่ปุ่นเติบโตขึ้นด้วย ปัจจัยเหล่านี้ยังได้รับแรงสนับสนุนจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินในหลายประเทศ และมาตรการการคลังแบบมุ่งเป้าหมายในบางประเทศ เช่น จีน เกาหลี อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งช่วยพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดผลกระทบจากอุปสงค์ภายนอกที่อ่อนแรงลง
อย่างไรก็ดี กลุ่มประเทศเอเซียก็กำลังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น การเข้าสู่สังคมสูงวัย การชะลอตัวของผลิตภาพ (productivity) เพราะการลงทุนยังไม่ไหลไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพสูง ความต้องการภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่หลังโควิด ความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างประเทศที่ขยายกว้างขึ้น และการขาดงานและโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประเทศที่สถาบันอ่อนแอและมีภาพลักษณ์คอร์รัปชันสูง
ผู้กำหนดนโยบายควรทำอะไร ?
IMF ให้คำแนะนำว่าภารกิจสำคัญของผู้กำหนดนโยบาย (Policymakers) คือ การแปลง “ความยืดหยุ่น” ให้เป็น “การเติบโตที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และทั่วถึง” โดยใช้พลังจากแหล่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจรูปแบบใหม่
ในระยะสั้น นโยบายควรมุ่งเน้นเรื่องการลดผลกระทบและลดความไม่แน่นอนทางนโยบาย การผ่อนคลายทางการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไปยังคงเหมาะสมสำหรับหลายประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ส่วนความยืดหยุ่นของอัตราแลกเปลี่ยนผ่านการแทรกแซงควรทำเฉพาะกรณีที่ตลาดผันผวน
ส่วนมาตรการการคลังแบบชั่วคราวและมุ่งเป้า ควรเน้นคุ้มครองกลุ่มเปราะบางและสนับสนุนธุรกิจที่มีศักยภาพ ในขณะเดียวกัน การปฏิรูประดับโครงสร้าง เช่น การลดกฎระเบียบที่ซ้ำซ้อนและการยกระดับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของภาคเอกชน
ในระยะยาว นโยบายควรมุ่งสร้างการเติบโตที่มั่นคงและเพิ่มสัดส่วนการบริโภคภาคเอกชนในเศรษฐกิจ การสร้างระบบประกันทางสังคมที่เข้มแข็ง (social safety nets) และสนับสนุนการใช้จ่ายภายในประเทศ
โดยสรุปคือ แม้เศรษฐกิจเอเชียจะเปิดกว้างในภาพรวม แต่ก็ยังมีความแตกต่าง เช่น ภาคบริการของเอเชียใต้ยังคงปิดกั้นมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ การวิเคราะห์ของ IMF ชี้ว่า การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคของเอเซียเองที่มีความแน่นแฟ้นขึ้น จะช่วยเพิ่มการแข่งขัน ยกระดับผลิตภาพ ลดต้นทุน และขยายตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) การขยายข้อตกลงการค้าให้ครอบคลุมบริการและการค้าดิจิทัล และการผ่อนคลายข้อจำกัดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จะช่วยดึงดูดการลงทุนและเสริมสร้างการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานที่กำลังดำเนินอยู่
ที่มา : IMF Blog







