ปมกดดันแร่หายากของ สี จิ้นผิง เปิดทางสหรัฐ 'ฟื้นพันธมิตรสู้จีน'

การคุมส่งออกแร่หายากของจีน อาจกลายเป็นดาบสองคม กระตุ้นให้สหรัฐได้โอกาสกลับมาจับมือพันธมิตรยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเอเชียอีกครั้ง หารือแนวร่วมตอบโต้การเล่นเกมเกินขอบเขต ด้านปักกิ่งโวยสหรัฐจงใจสร้างความตื่นตระหนกเกินเหตุ
สงครามภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยทำให้บรรดาพันธมิตรเก่าแก่ของสหรัฐห่างเหิน และเปิดโอกาสให้ "จีน" เข้ามาเติมช่องว่างนั้นแทน "แต่เวลานี้ ยุทธวิธีแข็งกร้าวของปักกิ่งกลับกลายเป็นชนวนให้ทั่วโลกเริ่มหันมาตอบโต้แทน"
บลูมเบิร์ก รายงานว่า การประกาศควบคุมการส่งออกในห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก (แรร์เอิร์ธ) ของจีน ซึ่งถือเป็นมาตรการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กำลังกลายเป็นหัวข้อหลักในการประชุมประจำปีของบรรดารัฐมนตรีคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางทั่วโลกที่กรุงวอชิงตันในสัปดาห์นี้
คัตสึโนบุ คาโตะ รัฐมนตรีคลัง "ญี่ปุ่น" เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกกลุ่ม G7 “ร่วมมือและตอบโต้อย่างเป็นเอกภาพ” ต่อการเคลื่อนไหวของจีน ขณะที่รัฐมนตรีคลัง "เยอรมนี" ระบุว่า กำลังพิจารณาทางเลือกในการดำเนินการร่วมกันระดับกลุ่ม ส่วนนายกรัฐมนตรี "ออสเตรเลีย" เตรียมเดินทางไปวอชิงตันในสัปดาห์หน้าเพื่อเจรจาข้อตกลงด้านห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญ หลังจากหลายประเทศเร่งหาทางกระจายความเสี่ยง
ทั้งหมดนี้ถือเป็นการกลับลำจากเมื่อหกเดือนก่อนที่ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยรณรงค์ให้ประเทศต่าง ๆ รวมพลังกันต่อต้านมาตรการภาษีของสหรัฐ ที่สูงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง แม้จีนจะอ้างว่ามาตรการควบคุมใหม่เป็นการตอบโต้การขยายขอบเขตควบคุมของวอชิงตัน แต่ข้อกำหนดล่าสุดกลับบังคับให้แม้แต่ผู้ส่งออกต่างชาติ ต้องขอใบอนุญาตก่อนจะส่งสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่จีนบางชนิดไปยังประเทศใดก็ตามทั่วโลก
“ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดคือ รัฐบาลจีนอาจเล่นเกินเกมของตัวเอง” คริสโตเฟอร์ เบดเดอร์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยจีนของ Gavekal Dragonomics กล่าว “การสั่นคลอนห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของโลก อาจทำให้ทั่วโลกมองว่าปักกิ่งกำลังสร้างความเดือดร้อนโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน”
ล้างภาพมิตรทางเลือกใหม่นอกสหรัฐ
ความตึงเครียดรอบนี้เกิดขึ้นในขณะที่ประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" และปธน. ทรัมป์ เตรียมพบกันแบบตัวต่อตัวครั้งแรกในรอบ 6 ปี ภายในเดือนต.ค. นี้ที่เกาหลีใต้ ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) โดยคณะเจรจาของทั้งสองฝ่ายคาดว่าจะหารือล่วงหน้าในสัปดาห์หน้า เพื่อหาทางผ่อนคลายความขัดแย้ง และขยายเวลาข้อตกลงระงับการบังคับใช้ภาษีออกไปอีก
บลูมเบิร์กมองว่าไม่ว่าการประนีประนอมจะออกมาอย่างไร แต่ดูเหมือนจีนจะไม่ถอยจากกรอบกติกาที่สร้างไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็น “การคำนวณผิดพลาดของปักกิ่ง” หรือ “การฉวยโอกาสของมหาอำนาจที่ต้องการควบคุมห่วงโซ่อุปทานเชิงยุทธศาสตร์” การเผชิญหน้าครั้งนี้ถือเป็น "การถอยหลังครั้งสำคัญ" ที่จีนพยายามสร้างภาพลักษณ์ประเทศที่เป็นมิตรต่อโลก
ด้าน อู๋ ซินป๋อ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสหรัฐแห่งมหาวิทยาลัยฟู่ตัน เซี่ยงไฮ้ กล่าวว่าประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าดีกับจีน และไม่เข้าร่วมในความพยายามของสหรัฐที่จะโดดเดี่ยวจีน จะไม่ตกเป็นเป้าของมาตรการใหม่
“มาตรการนี้กลับทำให้จีนมีอำนาจต่อรองมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้พันธมิตรของสหรัฐเข้ามาช่วยกดดันจีน” อู๋กล่าวกับบลูมเบิร์กทีวี “ผมคิดว่าจีนรู้ดีว่าจะเล่นไพ่ใบนี้อย่างชาญฉลาดอย่างไร”
อย่างไรก็ดี เจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐให้มุมตรงข้ามโดยเตือนว่ามาตรการของจีนมี “ขอบเขตกว้างเกินคาดคิด” และอาจบีบคอการส่งมอบสินค้าทุกอย่าง ตั้งแต่ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) จนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น การค้าสมาร์ตโฟนระหว่างเกาหลีใต้กับออสเตรเลีย รวมถึงรถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐส่งออกไปเม็กซิโก อาจได้รับผลกระทบจนหยุดชะงัก
“แน่นอนว่าทั้งเรา และพันธมิตรไม่มีทางยอมรับระบบเช่นนั้นได้” กรีเออร์ กล่าวกับฟ็อกซ์นิวส์ และเสริมว่า “มีความเป็นไปได้” ที่รัฐบาลสหรัฐจะเข้าถือหุ้นในบริษัทแร่หายากเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มการเข้าถึงทรัพยากรเหล่านี้
ก่อนหน้านี้ในเดือนก.ค. รัฐบาลทรัมป์ได้อนุมัติการลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ในบริษัท MP Materials Corp. เพื่อสร้างโรงงานผลิตแม่เหล็กแร่หายาก และเมื่อต้นเดือนต.ค.นี้ ยังประกาศจะถือหุ้น 10% ในบริษัท Trilogy Metals Inc. ของแคนาดา
จีนถอดบทเรียนมาจากกลยุทธ์วอชิงตัน
ในความเป็นจริง ยุทธศาสตร์เล่มใหม่ของสี จิ้นผิง แทบจะถอดแบบจากแนวทางของวอชิงตันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งอาศัยเครื่องมืออย่าง "การควบคุมการส่งออก การขึ้นบัญชีดำ (Entity List) และการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ"
สหรัฐใช้เครือข่ายพันธมิตรประชาธิปไตยทั่วโลกเพื่อบังคับใช้ “อำนาจนอกเขตอำนาจศาล” ที่ครอบคลุม ซึ่งจีนเคยวิพากษ์อย่างรุนแรง แต่หลังจากประสบความสำเร็จบางส่วนในการใช้แร่หายากเป็นเครื่องต่อรองเมื่อต้นปีนี้ ปักกิ่งไม่เพียงนำแนวทางนั้นมาใช้ แต่ยังยกระดับขึ้นอีกขั้น
เมื่อวันพฤหัสบดี หวัง เหวินเทา รัฐมนตรีพาณิชย์จีนกล่าวโทษว่าสหรัฐเป็นฝ่ายทำลายบรรยากาศความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หลังการเจรจาที่กรุงมาดริดเมื่อเดือนที่แล้ว เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐออกกฎใหม่ในปลายเดือนก.ย. ขยายขอบเขตการคว่ำบาตรต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจีนในบัญชีดำ
“การเคลื่อนไหวของสหรัฐทำร้ายผลประโยชน์ของจีนอย่างร้ายแรง และบ่อนทำลายบรรยากาศของการเจรจาการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกัน” หวังกล่าวกับ "ทิม คุก" ซีอีโอของ Apple Inc. ระหว่างการพบปะกันที่กรุงปักกิ่ง
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดว่าจีนจะจัดการกับเอกสารปริมาณมหาศาลจากระบบอนุญาตใหม่นี้อย่างไร หลายฝ่ายเชื่อว่าปักกิ่งอาจเลือกบังคับใช้เฉพาะเมื่อประสงค์จะกดดันคู่ค้าชาติใดชาติหนึ่ง
กล่าวหาสหรัฐสร้างความตื่นตระหนก
ในระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 ต.ค. เหอ หยงเฉียน โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวหาสหรัฐว่ากำลัง “สร้างความตื่นตระหนก” ต่อมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากของปักกิ่ง แต่ยืนยันว่าพร้อมเปิดรับการเจรจาการค้า เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทที่อาจจุดชนวนให้สงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกกลับมาปะทุอีกครั้ง
“การตีความของสหรัฐ บิดเบือนและกล่าวเกินจริงต่อมาตรการของจีนอย่างรุนแรง โดยจงใจสร้างความเข้าใจผิดและความตื่นตระหนกที่ไม่จำเป็น” เหอ กล่าวและเสริมว่า สหรัฐเป็นฝ่ายที่ใช้มาตรการจำกัดต่อจีนก่อน ทั้งในด้านเซมิคอนดักเตอร์ และกฎ “เนื้อหาต่างชาติ (foreign content rules)” ซึ่งมีเป้าหมายผลักดันให้จีนหลุดออกจากห่วงโซ่อุปทานของอเมริกาเหนือ
“ข้อกล่าวหาของสหรัฐสะท้อนว่า สหรัฐกำลังฉายพฤติกรรมของตัวเองใส่ผู้อื่น” เหอกล่าว
จีนต้องเดินเกมอย่างระวังไม่ให้เป็นภัยคุกคาม
ทางฝั่งหลายประเทศตะวันตกเองก็ยังคงพยายามรักษาความสัมพันธ์กับจีนอย่างระมัดระวัง เฉพาะสัปดาห์นี้เพียงสัปดาห์เดียว รัฐมนตรีต่างประเทศจาก "แคนาดา สเปน และสวีเดน" ต่างเดินทางเยือนปักกิ่ง รวมถึง เอมมานูเอล บอนน์ ที่ปรึกษาด้านการทูตของประธานาธิบดีฝรั่งเศสด้วย
จีนเองก็ต้องระวังไม่แสดงอำนาจเกินไป เพราะเศรษฐกิจของตนยังพึ่งพาทั่วโลก และสำหรับสี จิ้นผิง ความเสี่ยงใหญ่ก็คือ หากรัฐบาลต่างๆ เริ่มวิตกกับสิ่งที่จีนจะทำต่อไป พวกเขาอาจ "เร่งกระจายการแยกตัวออกจาก(ห่วงโซ่อุปทาน)จีน"
“เมื่อประเทศต่างๆ เริ่มทบทวนยุทธศาสตร์ด้านแร่หายาก พวกเขาอาจขยายไปยังภูมิภาคอื่นที่จีนก็ครองตลาดอยู่เช่นกัน” อลิเซีย การ์เซีย แอร์เรโร หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์เอเชียแปซิฟิกแห่ง Natixis กล่าว “หากเป็นเช่นนั้น ความสูญเสียของจีนจะมหาศาล”
ขณะเดียวกัน "สหภาพยุโรป" (อียู) กำลังพิจารณาบังคับให้บริษัทจีนถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทยุโรป หากต้องการดำเนินธุรกิจในยุโรป ส่วนกรณีที่ "เนเธอร์แลนด์" เข้าควบคุมบริษัท Nexperia สะท้อนว่าจีนอาจอยู่ในสถานะเสียเปรียบหากประเทศต่างๆ ถูกบีบให้เลือกข้าง วอชิงตันยังเตือนว่าบริษัทนี้ต้องเปลี่ยนซีอีโอชาวจีน หากต้องการหลุดจากบัญชีดำของสหรัฐ
สก็อต เคนเนดี ที่ปรึกษาอาวุโสจากศูนย์ CSIS ในวอชิงตัน เตือนว่า หากทั้งสหรัฐ และจีนยังคงใช้อำนาจทางเศรษฐกิจโจมตีกันต่อไป ทั้งสองฝ่ายอาจผลักประเทศอื่นให้ห่างออกไป
“สุดท้ายแล้ว โลกอาจตัดสินใจฟื้นระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์ขึ้นใหม่ โดยไม่มีจีน และสหรัฐ”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







