เปิดประเทศระบบบำนาญดีที่สุดในโลก 2025 ‘ไทย’ รั้งช่วงท้ายแม้คะแนนดีขึ้น

เปิดรายงานดัชนีบำนาญโลก Mercer CFA Institute Global Pension Index 2025 'ประเทศไทย' คะแนนดีขึ้นแต่ยังไม่พอ อยู่ในช่วงท้ายตาราง และเป็นรองโหล่ในอาเซียน ขณะที่สิงคโปร์ขึ้นสู่กลุ่มผู้นำท็อป 5 ได้เป็นครั้งแรก
KEY
POINTS
- 'เนเธอร์แลนด์' ครองอันดับ 1 ประเทศที่มีระบบบำนาญดีที่สุดในโลกประจำปี 2025 ตามการจัดอันดับของ Mercer
- 'ประเทศไทย' ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 41 จาก 52 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก โดยอยู่ในกลุ่ม C หรือกลุ่มรองจากท้ายตาราง
- แม้คะแนนรวมของไทยจะดีขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน แต่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก และมีคะแนนด้านความเพียงพอของรายได้หลังเกษียณลดลง
- เมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียน ระบบบำนาญของไทยยังคงตามหลังสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย
บริษัทที่ปรึกษา Mercer เปิดเผยรายงานดัชนีบำนาญโลก “Mercer CFA Institute Global Pension Index 2025” พบว่าปีนี้ “เนเธอร์แลนด์” ยังคงครองอันดับ 1 ได้เช่นเดิม ด้าน “สิงคโปร์” ก้าวเข้าสู่กลุ่มชั้นแนวหน้าของดัชนีบำนาญโลกได้เป็นครั้งแรก โดยขึ้นสู่อันดับที่ 4 จากการเสริมความแข็งแกร่งของระบบอย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายปี และรัฐบาลเพิ่มความโปร่งใสให้ประชาชนเข้าใจได้มากขึ้นว่า ตนเองจะได้รับเงินบำนาญเท่าใดหลังเกษียณ
ขณะที่ระบบบำนาญของ “มาเลเซีย” อยู่ในอันดับที่ 3 ของเอเชียแปซิฟิก โดยมีคะแนน 60.6 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 56.3 เมื่อปีที่แล้ว ขยับขึ้นมาอยู่ในเกรดC+ จากเดิมที่เกรด C
รายงานฉบับนี้ประเมินระบบบำนาญของ 52 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก โดยใช้เกณฑ์ 3 ด้าน คือ
- ความเพียงพอ (Adequacy) ของรายได้/เงินบำนาญหลังเกษียณ
- ความยั่งยืน (Sustainability) ของระบบบำนาญ
- ความมีธรรมาภิบาลของระบบ” (Integrity)
เมื่อปี 2009 “สิงคโปร์” เคยได้เพียงเกรด C ในดัชนีนี้ แต่ภายในเวลาเพียงสิบกว่าปี คะแนนของสิงคโปร์ได้พุ่งขึ้นเป็น B+ ในปีที่แล้ว และในปี 2025 ก็ทะยานขึ้นถึงระดับ A
ทิม เจนกินส์ หุ้นส่วนจากบริษัทเมอร์เซอร์ในซิดนีย์และหัวหน้าทีมจัดทำรายงาน กล่าวว่า สิงคโปร์เสริมความแข็งแกร่งของระบบบำนาญอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้แรงก์กิ้งของประเทศดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และในช่วงหลังรัฐบาลให้ความสำคัญมากขึ้นกับการเพิ่มความโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนเข้าใจชัดเจนมากขึ้นว่า ตนเองจะได้รับเงินบำนาญเท่าใดหลังเกษียณ
ระบบบำนาญของสิงคโปร์ตั้งอยู่บนโครงสร้างของ Central Provident Fund (CPF) ซึ่งครอบคลุมแรงงานชาวสิงคโปร์และผู้พำนักถาวรทุกคน โดยเป็นระบบที่บังคับให้ลูกจ้างและนายจ้างสมทบเงินเข้ากองทุนร่วมกัน
“สิงคโปร์ไต่ขึ้นมาจากเกรด C จนถึงเกรด A ได้เต็มตัว” เจนกินส์กล่าว “เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสิงคโปร์ก็มีส่วนช่วยด้วย เพราะดัชนีในด้านความยั่งยืนจะคำนึงถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย”
‘ไทย’ รั้งช่วงท้ายแม้มีคะแนนดีขึ้น
สำหรับ “ประเทศไทย” อยู่ในอันดับกลุ่มประเทศ C หรือกลุ่มรองจากท้ายสุด (กลุ่ม D) โดยอยู่ร่วมกับอีกหลายประเทศอาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และเวียดนามแต่หากวัดในแง่คะแนนรวมนั้น ประเทศไทยจะอยู่ในอันดับที่ 41 จากทั้งหมด 52 อันดับ โดยอยู่ในอันดับที่ 11 จากท้ายตาราง
ในปีนี้ระบบบำนาญของประเทศไทยได้คะแนนดีขึ้นเป็น 50.6 จากเดิม 50.0 ในปีที่แล้ว ทว่าก็ยังคง “ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก” ที่ 64.5 คะแนน โดยในการประเมินเกณฑ์ชี้วัด 3 ด้านนั้น ประเทศไทยทำคะแนนดีขึ้นมากที่สุดในแง่ความโปร่งใสธรรมาภิบาล รองลงมาคือเรื่องความยั่งยืนของระบบ แต่เรื่องความเพียงพอของรายได้หรือเงินบำนาญหลังเกษียณมีคะแนนลดลง
เมื่อเทียบกับประเทศใน “อาเซียน” สิงคโปร์ครองอันดับสูงสุดของภูมิภาคด้วยคะแนน 80.8 (เกรด A) ขณะที่มาเลเซียได้ 60.6 (เกรด C+) เวียดนาม 53.7, อินโดนีเซีย 51.0, ไทย 50.6 (เกรด C) และฟิลิปปินส์ 47.1 (เกรด D) ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าไทยยังคงตามหลังประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งในด้าน “ความเพียงพอของรายได้หลังเกษียณ” แม้มีความก้าวหน้าในด้านธรรมาภิบาลของระบบมากขึ้นก็ตาม
รายงานส่วนที่วิเคราะห์เฉพาะประเทศไทยระบุว่า ระบบรายได้หลังเกษียณของประเทศไทย ประกอบไปด้วย 1.เงินบำนาญชราภาพ, 2. กองทุนประกันสังคมสำหรับลูกจ้างภาคเอกชน, 3. แผนบำนาญแบบกำหนดเงินสมทบโดยสมัครใจที่นายจ้างจัดตั้งให้ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ 4. ผลิตภัณฑ์เงินออมส่วนบุคคล
รายงานยังแนะนำอีกว่า ค่าดัชนีโดยรวมของระบบบำนาญไทย อาจเพิ่มขึ้นได้หากมีการดำเนินการดังต่อไปนี้ ได้แก่
- เพิ่มการคุ้มครองลูกจ้างในระบบบำนาญภาคอาชีพให้ครอบคลุมขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มระดับเงินสมทบและสินทรัพย์
- เพิ่มระดับการสนับสนุนขั้นต่ำสำหรับผู้สูงอายุที่ยากจนที่สุด
- ลดระดับหนี้สาธารณะเมื่อเทียบกับสัดส่วนจีดีพี
- ยกระดับข้อกำหนดการกำกับดูแลระบบบำนาญภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง
รัฐล้วงเงินกองทุนไปหนุนนโยบาย
ผู้จัดทำรายงานยังเตือนด้วยว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ทำให้รัฐบาลหลายประเทศเริ่มพยายามนำเงินลงทุนของกองทุนบำนาญไปสนับสนุนนโยบายภายในประเทศมากขึ้น
“กฎระเบียบและการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ตั้งแต่เรื่องภาษีไปจนถึงข้อบังคับด้านการลงทุน ล้วนมีอิทธิพลอย่างมากต่อวิธีที่กองทุนบำนาญจัดสรรเงินลงทุนของตน” มาร์กาเร็ต แฟรงคลิน ประธานและซีอีโอของสถาบัน CFA Institute กล่าว
“ในบางประเทศ รัฐบาลกำลังหันมาใช้กองทุนบำนาญเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อผลประโยชน์ระดับชาติ แต่ในมุมของผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน เราจำเป็นต้องระมัดระวังผลกระทบที่ไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อข้อบังคับหรือข้อจำกัดเหล่านี้บิดเบือนระบบโดยรวม”
ด้านคริสติน มาโฮนีย์ ผู้บริหารด้านบำนาญแบบกำหนดสิทธิประโยชน์/กำหนดเงินสมทบของเมอร์เซอร์ กล่าวว่า เมื่อผู้คนมีอายุยืนยาวขึ้นและตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลง รัฐบาลต่างๆ กำลังเผชิญกับแรงกดดันให้ปรับเปลี่ยนระบบบำนาญ
“อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปบำนาญไม่ใช่เรื่องง่าย การประเมินผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมนายจ้าง รัฐบาล และผู้ให้บริการบำนาญควรมีส่วนร่วมในการกำหนดระบบบำนาญที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น”







