IMF ชี้ ’เศรษฐกิจโลก‘ สู่ยุคใหม่ ผันผวนสูง ติดหล่ม ‘สงครามภาษี’

IMF ชี้ ’เศรษฐกิจโลก‘ สู่ยุคใหม่ ผันผวนสูง ติดหล่ม ‘สงครามภาษี’

IMF ชี้ “เศรษฐกิจโลก” สู่ยุคใหม่ ผันผวนสูง ติดหล่ม ‘สงครามภาษี’

KEY

POINTS

  • IMF ระบุว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่มีความผันผวนสูง โดยมีสงครามภาษีเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งการเติบโต แม้ผลกระทบระยะสั้นจะยังไม่รุนแรง
  • การเติบโตของเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาด เนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้ายังคงบั่นทอนแนวโน้มในระยะยาว
  • ความผันผวนถูกซ้ำเติมด้วยความเสี่ยงใหม่ๆ ที่ต้องจับตา ได้แก่ ภาวะฟองสบู่ AI, ปัญหาเชิงโครงสร้างในเศรษฐกิจจีน, แรงกดดันด้านการคลังทั่วโลก และความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินที่อาจลดลง
  • IMF ชี้ว่าการลดความไม่แน่นอนทางการค้าและลดภาษี สามารถกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อรวมกับผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นจากเทคโนโลยี AI
  • ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อรับมือคือการสร้างกติกาการค้าที่ชัดเจน, ลดความเปราะบางทางการคลัง และรักษานโยบายการเงินที่เป็นอิสระเพื่อสร้างเสถียรภาพด้านราคา

IMF เปิดเผยรายงาน Global Economic Outlook 2026 โดย  Pierre-Olivier Gourinchas, the Economic Counsellor and the Director of Research of the IMF กล่าวว่า เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้เขย่าระเบียบการค้าระหว่างประเทศด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าในวงกว้าง สร้างความกังวลว่าจะกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม 6 เดือนต่อมา ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงกลับอยู่ในระดับ “เล็กน้อย” เมื่อเทียบกับกรอบการคาดการณ์เดิม

สาเหตุสำคัญคือการเจรจาการค้ากับประเทศต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ที่ช่วยลดความตึงเครียด บวกกับการที่ภาคเอกชนสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการนำเข้าสินค้าล่วงหน้าและการปรับห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังคงเติบโตได้ที่ 3.2% และ 3.1% ในปีหน้า ลดลงเพียง 0.2 จุดร้อยละจากการคาดการณ์เมื่อปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตนี้ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดโรคระบาดที่ 3.7% อย่างชัดเจน

ยังสรุปไม่ได้ว่าภาษี “ไม่มีผล”

อย่างไรก็ตาม การสรุปว่าภาษีใหม่ไม่มีผลต่อเศรษฐกิจโลกนั้นยังเร็วเกินไป เนื่องจากยังไม่มีการยกเลิกภาษีถาวร ข้อตกลงระหว่างประเทศยังไม่ชัดเจนและผลกระทบในระยะยาวอาจค่อย ๆ ปรากฏ โดยเฉพาะการผลักภาระต้นทุนจากผู้นำเข้าสหรัฐฯ ไปยังผู้บริโภค และการสูญเสียประสิทธิภาพจากการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เพิ่มผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เช่น นโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้นในสหรัฐฯ ซึ่งกระทบต่ออุปทานแรงงาน

หากมองในภาพรวมของโลกจะพบว่ายังมีปัจจัยหนุนเศรษฐกิจโลกแม้มีแรงกดดัน

สหรัฐฯ: อัตราดอกเบี้ยยังผ่อนคลาย ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง การลงทุนด้าน AI พุ่งสูง

จีน: รับมือภาษีด้วยค่าเงินหยวนที่อ่อนลง ส่งออกใหม่ไปเอเชีย-ยุโรป และมาตรการกระตุ้นการคลัง

ยุโรป: เยอรมนีเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐช่วยหนุนยูโรโซน

กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา: ได้ประโยชน์จากสภาพการเงินโลกที่ผ่อนคลาย

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยหนุนแต่ผลกระทบจากภาษียังคงบั่นทอนแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแออยู่แล้ว โดยคาดว่าจะเกิดการชะลอตัวในครึ่งปีหลัง และฟื้นตัวได้เพียงบางส่วนในปี 2026 พร้อมกับแนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงในหลายประเทศ

รายงานของ IMF ยังกล่าวถึงความเสี่ยง 4 ประการที่ยังต้องจับตาในช่วงปีหน้า ได้แก่ประเด็นเรื่อง ฟองสบู่ AI จีนเผชิญปัญหาโครงสร้าง แรงกดดันด้านการคลัง และความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของสถาบัน

ฟองสบู่ AI (The AI surge, promise or peril?)

การลงทุนใน AI ที่กำลังบูมอาจคล้ายกับยุคดอตคอม อาจนำไปสู่การต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น หากตลาดปรับความคาดหวังลงอย่างรวดเร็ว จะส่งผลลบต่อระบบการเงินและการบริโภค

จีนเผชิญปัญหาโครงสร้าง (China’s structural struggles)

ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังไม่ฟื้น ความต้องการสินเชื่ออ่อนแอ เสี่ยงเข้าสู่ภาวะหนี้-เงินฝืด การลงทุนภาครัฐในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์อาจก่อให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพ

แรงกดดันด้านการคลัง (Mounting fiscal pressures)

หลายประเทศมีข้อจำกัดทางการคลังจากหนี้สาธารณะสูง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงสูงขึ้น และความต้องการใช้จ่ายใหม่ (ความมั่นคง, พลังงาน, สิ่งแวดล้อม) ประเทศรายได้น้อยยังเปราะบางจากการไหลออกของเงินทุนและความช่วยเหลือลดลง

ความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของสถาบัน (Institutional credibility at risk)

แรงกดดันทางการเมืองต่อธนาคารกลางและสถาบันอิสระอื่น ๆ อาจทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่ใช้เวลาหลายทศวรรษในการสร้าง ส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน

นโยบายที่ถูกต้องสามารถ “เปลี่ยนเกม” ได้

แม้ความท้าทายจากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความท้าทายหลายด้าน แต่ IMF มองว่าหากสามารถสร้างความชัดเจนด้านนโยบายการค้าและลดภาษีได้จะสามารถเพิ่มการเติบโตของโลกได้ราว 0.7% ในระยะสั้น และหากรวมกับผลผลิตจาก AI ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ (TFP) อาจเพิ่ม GDP โลกได้มากถึง 1% โดยสองปัจจัยที่กล่าวมาได้แก่

ปัจจัยแรก การคลี่คลายความไม่แน่นอนด้านนโยบายจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ ข้อตกลงทางการค้าทวิภาคีและพหุภาคีที่มีความชัดเจนและมีเสถียรมากขึ้น สามารถเพิ่มผลผลิตเศรษฐกิจโลกได้ถึง 0.4% ในระยะเวลาอันใกล้ และหากสามารถลดอัตราภาษีกลับไปสู่ระดับต่ำที่เคยมีอยู่ก่อนเดือนมกราคม 2025 บนพื้นฐานของข้อตกลงเหล่านี้ ก็จะช่วยส่งผลบวกเพิ่มเติมอีกประมาณ 0.3%

ปัจจัยที่สอง นอกเหนือจากผลของ AI ที่ส่งเสริมการลงทุนแล้ว AI ยังสามารถช่วยเพิ่ม ผลิตภาพรวมของปัจจัยการผลิต (Total Factor Productivity) ได้อีกด้วย ภายใต้สมมติฐานในระดับปานกลาง หากรวมผลจากการลดความไม่แน่นอน การลดภาษี และการพัฒนาของ AI เข้าด้วยกัน จะสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตของเศรษฐกิจโลกได้ราว 1% ในระยะใกล้

โดย IMF แนะนำถึงนโยบายที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและการคาดการณ์ได้ของนโยบายและช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ดังนี้

ด้านโยบายการค้า: ลดความไม่แน่นอนและกำหนดกติกาที่ชัดเจนเพื่อสนับสนุนการค้าเสรี

ด้านโยบายการคลัง: ลดความเปราะบางทางการคลังอย่างค่อยเป็นค่อยไปและน่าเชื่อถือ

ด้านโยบายการเงิน: รักษาอิสระและมุ่งเป้าไปที่เสถียรภาพด้านราคา

อย่างไรก็ตาม IMF แนะนำว่า นอกจากความมั่นคงระยะสั้นแล้ว การให้ความสำคัญกับการลงทุนระยะยาวก็เป็นเรื่องจำเป็นโดยเฉพาะการลงทุนเพื่ออนาคต (we must invest more in the future) แม้ว่าขณะนี้นโยบายอุตสาหกรรมจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจของผู้กำหนดนโยบายแต่การที่รัฐบาลสนับสนุนนวัตกรรม ภาคเอกชน และการเพิ่มผลิตภาพผ่านการศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และการกำกับดูแลที่สมดุลระหว่างการบาลานซ์ด้านการพัฒนานวัตกรรมไปพร้อมกับการจัดการความเสี่ยงก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ