‘Tiktok’ กำลังทำให้คนเวียดนามหันมา ‘รักจีน’?

Tiktok เสริมภาพลักษณ์ ‘จีน’ ในเวียดนาม ช่วยลดแรงเสียดทานในการร่วมมือทวิภาคี สะท้อนวิถี ‘โต เลิม’ เศรษฐกิจต้องมาก่อนชาตินิยม
KEY
POINTS
- TikTok ซึ่งมีผู้ใช้ในเวียดนามกว่า 67 ล้านคน มีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกของจีน
- รัฐบาลเวียดนามกำลังหันมาพึ่งพาจีนมากขึ้นทางเศรษฐกิจ เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ
- เวียดนาม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ มองจีนในแง่ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้รัฐบาลสามารถผลักดันโครงการความร่วมมือกับจีนได้ง่ายขึ้น โดยมีแรงต้านจากสังคมน้อยลง
ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐ ที่บีบให้เวียดนามต้องหันกลับไปพึ่งพิงจีนมากขึ้น ท่าทีของการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในระดับของรัฐบาล แต่ยังแผ่ขยายไปในสังคมเป็นวงกว้าง โดยมี TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นขนาดสั้น ที่ได้เข้ามาเป็นกลไกสำคัญในการปรับเปลี่ยนมุมมอง อันนำไปสู่การยอมรับโครงการความร่วมมือระหว่างจีนและเวียดนาม และตอกย้ำถึงแนวคิดที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ได้กลายมาเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญมากที่สุดในเวียดนามยุคปัจจุบัน
ในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานภาพของหญิงสาวชาวเวียดนามหลายสิบคน ที่ยืนเรียงแถวกันหลายชั่วโมง เพื่อรอชมกองทหารที่จะเดินขบวนพาเหรดผ่านกรุงฮานอย แต่สิ่งที่หญิงสาวเหล่านี้รอดู กลับไม่ใช่ทหารเวียดนาม แต่เป็นเหล่าทหารจีนที่มาร่วมงานฉลอง 80 ปี วันชาติเวียดนาม
ภาพดังกล่าวสะท้อนการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของชาวเวียดนามที่มีต่อจีน ซึ่งมีผลมาจากความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เวียดนามต้องเปลี่ยนแผนหันกลับมาพึ่งพิงจีน
การเปลี่ยนแปลงทัศนคติดังกล่าว เอื้อให้รัฐบาลสามารถผลักดันโครงการที่มีความละเอียดอ่อน เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง และการตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษใกล้กับจีน ซึ่งจะยิ่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แนบแน่นมากขึ้นอีก
ไม่กี่ปีก่อนหน้า ชาวเวียดนามจำนวนมากยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการร่วมมือกับจีน เพราะทั้งสองประเทศเคยมีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งและสงครามในอดีต ดังนั้น โครงการที่ต้องอาศัยความร่วมมือเหล่านี้จึงถูกมองว่าอาจก่อให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ และนำไปสู่การต่อต้านที่รุนแรงได้ แต่ในวันนี้ ท่าทีกีดกันเหล่านั้นกำลังอ่อนลง จากอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย การค้นหาข้อมูลออนไลน์ และการเรียนภาษา
TikTok ‘เปลี่ยน’ ภาพลักษณ์จีนให้ดีขึ้นในสายตาคนเวียดนาม
จากผลสำรวจของสถาบันวิจัย ISEAS-Yusof Ishak ในสิงคโปร์ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามชาวเวียดนามราว 75% ยังชื่นชอบสหรัฐอเมริกามากกว่าจีนหากต้องเลือกสักประเทศมาเป็นพันธมิตร แต่สัดส่วนของคนที่สนับสนุนจีนกำลังเพิ่มขึ้น สวนทางประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
สาเหตุมาจากโซเชียลมีเดียที่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงท่าทีของชาวเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง TikTok ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น จากข้อมูลของรัฐบาลเวียดนาม ชี้ว่า ในปีที่ผ่านมามีผู้ใช้งาน Tiktok มากถึง 67 ล้านคน ถือว่าสูงที่สุดรองจาก Facebook
บทวิเคราะห์ของนิกเคอิเอเชีย ระบุว่า การที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง ByteDance เป็นเจ้าของ Tiktok ได้สร้างข้อได้เปรียบอย่างมากในการจัดการเนื้อหา เช่น เวลาที่ผู้ใช้งานค้นหาคำว่า “จีน” เป็นภาษาเวียดนาม พวกเขาก็จะได้รับผลลัพธ์ที่เป็นเชิงบวก
หนึ่งในวิดีโอยอดนิยมที่ TikTok แนะนำให้กับผู้ใช้งาน ได้แก่ คลิปทหารจีนที่เต้นอย่างพร้อมเพรียง และวิดีโอที่นำเสนอเมืองต่างๆ ของจีน ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากผู้ชมจำนวนมาก ผ่านการแสดงความชื่นชมต่อการพัฒนาที่รวดเร็วของจีน
มากไปกว่านั้น จากการทดสอบพบว่า ผู้ใช้ TikTok ที่ค้นหาคำว่า ‘ทะเลจีนใต้’ เป็นภาษาเวียดนาม มักจะได้รับคลิปวิดีโอเกี่ยวกับพายุโซนร้อน หรือความตึงเครียดระหว่างจีนและฟิลิปปินส์ไปแทน แม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นจุดที่จีนกับเวียดนามมีความขัดแย้งจากการอ้างสิทธิ์เหนือน่านน้ำ แต่ Tiktok กลับแทบไม่แสดงผลเนื้อหาเหล่านี้
‘โต เลิม’ เศรษฐกิจที่มาก่อนชาตินิยม ‘หนูสีอะไร ขอให้หนีแมวได้ก็พอ’
เหงียน คัก เกียง จากสถาบันวิจัย ISEAS กล่าวว่า “ชาวเวียดนามรุ่นใหม่ในโลกออนไลน์อาจดูไม่ค่อยแข็งกร้าวต่อจีนเหมือนเมื่อก่อน แต่สิ่งนี้เป็นผลมาจากการควบคุมความรู้สึกชาตินิยมของคนในประเทศที่เข้มงวดขึ้นของรัฐบาล มากกว่าจะเกิดจากความขุ่นเคืองที่จางหายไปอย่างแท้จริง”
แม้การรณรงค์ทางออนไลน์เพื่อต่อต้านจีนยังคงเกิดขึ้นบ่อยครั้งในเวียดนาม ซึ่งโดยส่วนมากจะมุ่งเป้าไปที่บริษัทต่าง ๆ ที่ใช้แผนที่ทะเลจีนใต้ของประเทศจีน แต่การรณรงค์เหล่านี้ก็มักจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นๆ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่างจากในปี 2561 ที่เกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลเวียดนามในวงกว้าง เพราะ แผนการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษระหว่างจีน-เวียดนามถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทจีน และบีบให้รัฐบาลเวียดนามต้องชะลอแผนการดังกล่าวออกไป โดยในปัจจุบัน แม้สื่อของรัฐเวียดนามรายงานข่าวเกี่ยวกับแผนการสร้างเขตเศรษฐกิจใหม่บริเวณชายแดนจีนอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็กลับไม่พบการเคลื่อนไหวประท้วงใด ๆ มากนัก
เหงียน หุ่ง นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย RMIT ในเวียดนาม กล่าวว่า “รัฐบาลเวียดนามคิดว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมีชัยชนะเหนือลัทธิชาตินิยม” พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลหันมาส่งเสริมแนวทางปฏิบัติต่อจีนที่เน้นผลลัพธ์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐทวีความรุนแรง ในการนี้ ข้อมูลจากเวียดนามแสดงให้เห็นว่า บริษัทจากจีนเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดของเวียดนามในเวลานี้
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนเดินทางไปเวียดนามสองครั้งและโต เลิม ผู้นำของเวียดนามก็ได้เดินทางไปเยือนปักกิ่งเช่นเดียวกัน ซึ่งจีนถือเป็นประเทศแรกที่เขาไปเยือน หลังได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 2567
การที่ผู้นำมาพบปะกันบ่อยครั้ง ได้ทำให้ความสนใจในวัฒนธรรมจีนเพิ่มมากขึ้น โดยจากข้อมูลของ Google Trends พบว่า การค้นหาคำว่า "จีน" ทางออนไลน์ในเวียดนามพุ่งสูงขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่ภาพยนตร์และภาษาจีน นอกจากนี้ สื่อของรัฐบาลจีนยังรายงานว่า ในไตรมาสแรกของปี 2568 เวียดนามมียอดผู้ลงทะเบียนสอบ HSK ซึ่งเป็นการสอบอย่างเป็นทางการของจีนสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาแม่ นำประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
ปัจจุบัน รัฐบาลเวียดนามภายใต้การนำของ โต เลิม ได้เลือกประโยชน์ทางเศรษฐกิจ มาก่อนอุดมการณ์อื่นใดของชาติ และให้ความสำคัญกับการลงทุนทางเศรษฐกิจจากจีนเป็นอันดับแรก โดยจากท่าทีของรัฐบาลได้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จะเป็นพลังขับเคลื่อนหลักในความสัมพันธ์ทวิภาคี และการที่ TikTok สามารถควบคุมการนำเสนอเนื้อหาเพื่อช่วยเสริมภาพลักษณ์เชิงบวกของจีน รวมถึงหลีกเลี่ยงประเด็นความขัดแย้งที่ละเอียดอ่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยลดแรงเสียดทานทางสังคมลงได้อย่างมาก







