จบใหม่อยู่ยาก ! ข้อมูลชี้ หลายบริษัท เริ่มใช้ 'เอไอ' แทนที่ตำแหน่งงานจูเนียร์

แม้ภาพรวมยังไม่เห็นการเลิกจ้างครั้งใหญ่จาก AI แต่ในระดับบริษัทเริ่มมีการจ้างงานตำแหน่งที่นำ AI มาปรับใช้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทที่เริ่มใช้ AI มีแนวโน้มลดการจ้างพนักงานระดับจูเนียร์ลง 7.7% มากกว่าบริษัทที่ยังไม่ใช้ AI โดยเป็นการชะลอการจ้างงานใหม่ ไม่ใช่การเลิกจ้าง
KEY
POINTS
- บริษัทที่เริ่มนำ AI มาปรับใช้ มีแนวโน้มลดการจ้างงานระดับจูเนียร์ลง 7.7% มากกว่าบริษัทที่ยังไม่ใช้
- ผลกระทบไม่ใช่การเลิกจ้าง (Layoff) แต่เป็นการ "ลดการจ้างใหม่" ในตำแหน่งเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
- งานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคืองานซ้ำๆ ที่ต้องใช้ความละเอียด เช่น แก้โค้ด ตรวจเอกสาร ซึ่งเดิมเป็นงานของเด็กจบใหม่
เศรษฐกิจสหรัฐเหมือนเกมต่อพัซเซิล การเติบโตยังแข็งแรง แต่สัญญาณในตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณน่าจับตา แม้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับ “สุขภาพดี” แต่จำนวนตำแหน่งงานใหม่ที่เพิ่มขึ้นในเดือนส.ค. อยู่เพียง 22,000 ตำแหน่ง ลดลงจาก 158,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ท่ามกลางความสงบที่ดูเหมือนมั่นคง กำลังมี “พายุลูกใหม่” ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ
จนถึงตอนนี้ “การเลิกจ้างครั้งใหญ่” จากการแทนที่ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังไม่ปรากฏชัด
ข้อมูลจาก Budget Lab ของมหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า สัดส่วนพนักงานออฟฟิศต่อการจ้างงานทั้งหมดแทบไม่เปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่เปิดตัว ChatGPT ปลายปี 2022 ตามกราฟที่หนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ในระดับองค์กร เริ่มเห็นแนวโน้มของ “การปรับตัวด้วยเอไอ” ค่อยๆ เกิดขึ้น
งานวิจัยของ ซีเอด ฮอสเซนี (Seyed Hosseini) และกาย ลินทิงเกอร์ (Guy Lichtinger) สองนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ศึกษาตำแหน่งงานในหมวด “Generative-AI Integrators” หรือ “ผู้บูรณาการเอไอรู้สร้าง” ซึ่งทำหน้าที่นำเทคโนโลยีเอไอเข้ามาปรับใช้ในกระบวนการทำงานของบริษัท
ทั้งคู่ใช้เอไอวิเคราะห์ข้อมูลตำแหน่งงานกว่า 200 ล้านตำแหน่ง และพบว่า มากกว่า 130,000 ตำแหน่งใน 10,600 บริษัท ได้เริ่มจ้างบุคลากรเพื่อทำหน้าที่เป็น AI Adopters
ในกราฟที่สองจะเห็นว่า อัตราการจ้างในตำแหน่งนี้เพิ่มสูงขึ้นชัดเจนในไตรมาสแรกปี 2023 ซึ่งตรงกับช่วงที่ ChatGPT 3.5 เปิดให้ใช้งาน ขณะที่อีกกว่า 274,000 บริษัท ยังไม่มีการจ้างบุคลากรเพื่อปรับกระบวนการทำงานด้วยเอไอ
ทั้งนี้ หากเอไอไม่มีผลต่อการจ้างงานจริง บริษัทที่ใช้เอไอกับบริษัทที่ยังไม่ใช้ควรมีอัตราการจ้างงานใกล้เคียงกัน แต่ผลวิจัยตามกราฟที่สามกลับพบว่า หลังปี 2023 เป็นต้นมา ตำแหน่งงานระดับจูเนียร์ลดลงในทุกกลุ่ม โดยบริษัทที่เริ่มใช้เอไอมีอัตราการลดลงมากกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ราว 7.7% ขณะที่ตำแหน่งระดับซีเนียร์ยังไม่พบความแตกต่างชัดเจน
งานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ งานประจำที่ใช้ความใส่ใจแต่ก็ยังเป็นงานที่ซ้ำเดิม เช่น แก้โค้ด ตรวจเอกสาร หรือช่วยจัดการข้อมูลงานที่เดิมมักเป็นของ “เด็กจบใหม่” ซึ่งตอนนี้กลายเป็นประเภทงานที่เอไอสามารถทำแทนได้ดี
นักวิจัยยังพบว่า การลดลงของการจ้างงานไม่ได้เกิดจากการ “เลย์ออฟ” ทันที แต่เป็นการ “ลดการจ้างใหม่” อย่างค่อยเป็นค่อยไป
สำหรับคำถามว่า “ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่สุด?”
ผลวิจัยแบ่งมหาวิทยาลัยออกเป็น 5 ระดับตามกราฟที่สี่ พบว่า บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยระดับกลาง (mid-tier) มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากเอไอมากที่สุด
บริษัทจำนวนมากยังคงจ้างบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยท็อป เพื่อทำงานเฉพาะทาง และจ้างจากกลุ่มล่างเพื่องานค่าแรงต่ำ ส่วนระดับกลางคือกลุ่มที่ “เอไอสามารถเข้ามาแทนได้ง่ายที่สุด”
อย่างไรก็ดี นักวิจัยเตือนว่า ผลการศึกษายังมีข้อจำกัด เนื่องจากมีเพียง 17% ของกลุ่มตัวอย่าง ที่เป็นพนักงานในบริษัทที่ใช้เอไอ หมายความว่า ผลกระทบจริงอาจมากกว่าที่รายงาน
นอกจากนี้ ตลาดแรงงานระดับจูเนียร์เองก็ผันผวนมาหลายปี โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 ทำให้ยากจะระบุว่า การลดลงของการจ้างงานเด็กจบใหม่มาจากเอไอโดยตรงหรือไม่ เอไออาจเป็นเพียง “หนึ่งในหลายปัจจัย” ที่กำลังเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงานยุคใหม่
อ้างอิง: The Economist







