รู้จักผลงานเศรษฐศาสตร์โนเบล 2025 'ทำลายเชิงสร้างสรรค์' ให้โลกเติบโต

เปิดผลงาน 3 นักวิชาการผู้รับรางวัลเศรษฐศาสตร์โนเบล 2025 เรื่อง 'การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม' และ 'การทำลายเชิงสร้างสรรค์' กระทบโดยตรงถึง 'รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์' ชี้การโจมตีมหาวิทยาลัยไม่ต่างอะไรกับถอยหลังกลับสู่ยุคราชวงศ์หมิงของจีน
รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ 2025 ซึ่งเป็นสาขาสุดท้ายของการประกาศรางวัลในปีนี้ ตกเป็นของนักเศรษฐศาสตร์ 3 ราย คือ โจเอล มอเคียร์ จากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น, ฟิลิปป์ อากีญง จากสถาบัน INSEAD และ ปีเตอร์ ฮาวิตต์ จากมหาวิทยาลัยบราวน์ จากผลงานที่ว่าด้วย "นวัตกรรม" และพลังของ “การทำลายเชิงสร้างสรรค์” สามารถขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และยกระดับมาตรฐานการครองชีพทั่วโลกได้อย่างไร
งานวิจัยของพวกเขาอธิบายว่า เทคโนโลยีทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และวิธีการผลิตใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ของเดิมได้อย่างไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้มาตรฐานการใช้ชีวิต สุขภาพ และคุณภาพชีวิตของคนดีขึ้น
ราชบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน (Royal Swedish Academy of Sciences) ซึ่งเป็นคณะกรรมการผู้มอบรางวัลโนเบล ให้เหตุผลว่า ผู้ได้รับรางวัลได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ความก้าวหน้าเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้
"สิ่งที่เป็นเรื่องปกติมาเกือบตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติ คือ ภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่การเติบโต ผลงานของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าเราต้องตระหนัก และรับมือกับภัยคุกคามต่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” ราชบัณฑิตยสภา กล่าว
ผู้ได้รับรางวัลทั้งสามยังกล่าวถึงความท้าทายต่างๆ ที่เกิดจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ "โดนัลด์ ทรัมป์" ตั้งแต่นโยบายการค้ากับกำแพงภาษี การย้ายฐานการผลิตกลับมาที่สหรัฐ และการปฏิรูปการศึกษาระดับอุดมศึกษา ซึ่งบางฝ่ายมองว่าเป็นการจำกัดเสรีภาพทางวิชาการ
การบั่นทอนวิทยาศาสตร์ คือ การทำร้ายตัวเอง
ในบรรดาผู้รับรางวัลทั้งสามคน ศาสตราจารย์ "โจเอล มอเคียร์" จาก ม.นอร์ธเวสเทิร์น ได้รับเงินรางวัลครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 11 ล้านโครนสวีเดน (ราว 37.8 ล้านบาท) จากงานวิจัยเกี่ยวกับ "การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม" พร้อมการส่งสัญญาณเตือนว่า “การบั่นทอนวิทยาศาสตร์คือ การทำร้ายตัวเอง”
งานวิจัยของเขามุ่งศึกษาว่า “ทำไมเราจึงร่ำรวยกว่า และมีชีวิตที่ดีกว่าบรรพบุรุษของเราในอดีต” และในมุมมองของเขา "สหรัฐ" อาจต้องสูญเสียตำแหน่งผู้นำด้านวิทยาศาสตร์ และการศึกษาของโลกไปภายใต้รัฐบาลของทรัมป์
“การโจมตีสถาบันอุดมศึกษา และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน อาจเป็นการทำร้ายตัวเองครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ หรืออย่างน้อยที่สุด นับตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงของจีนที่เคยห้ามการสำรวจ และวิจัยทางวิทยาศาสตร์” เขากล่าวกับรอยเตอร์
“มันเป็นการทำลายตัวเอง และถูกขับเคลื่อนโดยการเมืองที่ไม่เกี่ยวข้องโดยสิ้นเชิง”
มอเคียร์ ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ลูกครึ่งอเมริกัน–อิสราเอล และยังสอนที่มหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ พยายามอธิบายเรื่อง “เหตุใดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน จึงกลายเป็น 'นอร์ม' หรือสภาพปกติของโลกยุคใหม่” เขาแสดงให้เห็นว่า เพื่อให้นวัตกรรมประสบความสำเร็จ และต่อยอดได้เอง มนุษย์จำเป็นต้อง “เข้าใจเชิงวิทยาศาสตร์” ว่าทำไมความก้าวหน้าเหล่านั้นจึงได้ผล ซึ่งก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การขาดความเข้าใจนี้ทำให้ยากที่จะต่อยอดการค้นพบใหม่ๆ ได้
ในหนังสือของเขาเรื่อง "A Culture of Growth : Origins of the Modern Economy" มอเคียร์ยังชี้ว่า “สังคมที่เปิดรับแนวคิดใหม่ และยอมรับการเปลี่ยนแปลง” คือ ตัวขับเคลื่อนสำคัญของความก้าวหน้า
เติบโตใหม่จาก "การทำลายเชิงสร้างสรรค์"
สำหรับเงินรางวัลอีกครึ่งหนึ่ง จะเป็นของ "ฟิลิปป์ อากีญง" ศาสตราจารย์จาก Collège de France, INSEAD ในกรุงปารีส และศาสตราจารย์ ม.บราวน์ ในสหรัฐ "ปีเตอร์ ฮาวิตต์" จากผลงานที่คณะกรรมการโนเบลเรียกว่าเป็น “ทฤษฎีการเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านการทำลายเชิงสร้างสรรค์ (Creative Destruction)” ซึ่งทั้งสองคนสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่วางแนวคิด Creative Destruction
เป็นหัวใจของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
“การทำลายเชิงสร้างสรรค์" คือ กระบวนการไม่รู้จบที่สินค้า และเทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนของเก่า” พร้อมยกตัวอย่างโทรศัพท์ ตั้งแต่โทรศัพท์บ้านแบบหมุนในยุคต้นศตวรรษที่ 20 มาจนถึงสมาร์ตโฟนในปัจจุบัน
งานของอากีญง และฮาวิตต์ แสดงให้เห็นว่า แม้บริษัทบางรายจะถูกแทนที่โดยนวัตกรรมของคู่แข่ง แต่เศรษฐกิจโดยรวมก็ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ผลงานนี้ยังช่วยรัฐบาลต่างๆ กำหนดแนวนโยบายด้านการวิจัย และพัฒนา (R&D) ด้วย
"ผลงานของผู้ได้รับรางวัลแสดงให้เห็นว่า เราไม่ควรมองข้ามความก้าวหน้า” เคิร์สติน เอนโฟล สมาชิกคณะกรรมการรางวัลโนเบล กล่าวระหว่างการแถลงข่าวที่กรุงสตอกโฮล์ม “สังคมต้องจับตาดูปัจจัยที่ก่อให้เกิด และค้ำจุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ...สิ่งเหล่านี้คือ นวัตกรรมบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ การทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์ และสังคมที่เปิดกว้างสำหรับการเปลี่ยนแปลง”
ฮาวิตต์ กล่าวว่า ผลงานของเขาเกี่ยวกับการทำลายล้างเชิงสร้างสรรค์นั้นย้อนกลับไปถึงทฤษฎีของโจเซฟ ชุมเพเทอร์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรียในศตวรรษที่ 20 แต่เขาก็เสริมด้วยว่ายังคงมี “ความขัดแย้ง” ที่เป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ "เพราะนวัตกรรมก็นำไปสู่การสูญเสียตำแหน่งงานเช่นกัน ความขัดแย้งนี้ยังคงต้องได้รับการแก้ไข"
กังขา 'กำแพงภาษี-ดึงการผลิตกลับอเมริกา'
อากีญง กล่าวว่า กำแพงภาษี และการลดระดับโลกาภิวัตน์ คือ อุปสรรคต่อการเติบโต
“ตลาดที่ใหญ่ขึ้นหมายถึง โอกาสมากขึ้นในการแลกเปลี่ยนความคิด การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการแข่งขันที่เป็นประโยชน์...อะไรก็ตามที่ขวางกั้นการเปิดกว้าง คืออุปสรรคต่อการเติบโต ซึ่งผมมองเห็นเมฆดำกำลังก่อตัวขึ้น ผลักดันให้เกิดกำแพงทางการค้า และการปิดกั้น” ศาสตราจารย์จากฝรั่งเศส กล่าว
รางวัลเศรษฐศาสตร์โนเบลในปีนี้ยังมาในช่วง "หัวเลี้ยวหัวต่อ" ของเศรษฐกิจโลกด้วย โดยในขณะที่หลายฝ่ายคาดว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะกระตุ้นคลื่นการเติบโตใหม่ เรื่องนี้ก็ตอกย้ำความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์ของยุโรป ที่อาจล้าหลังสหรัฐ และจีนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต ซึ่งอากีญงเรียกร้องให้ยุโรปเรียนรู้จากสหรัฐ และจีน ซึ่งสามารถประสานระหว่าง “การแข่งขัน” กับ “นโยบายอุตสาหกรรม” ได้สำเร็จ
ด้านฮาวิตต์ ยังได้วิพากษ์นโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ด้วยการตั้งคำถามต่อแนวคิด “การดึงงานผลิตกลับสหรัฐ” ซึ่งเขามองว่าความพยายามที่จะนำงานภาคการผลิตกลับสู่สหรัฐอาจมีเหตุผลทางการเมืองบางอย่าง แต่ไม่ใช่นโยบายเศรษฐกิจที่ดี และระบุด้วยว่า นโยบายเหล่านี้จะทำให้เกิดการชะลอนวัตกรรมโดยลดการประหยัดต่อขนาด หรือ Scale effect
“เราถนัดในการออกแบบรองเท้าวิ่ง แต่เราควรปล่อยให้คนอื่นเป็นผู้ผลิตจะดีกว่า” ศาสตราจารย์ ม.บราวน์ กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







