‘เวียดนาม’ เร่งปฏิรูป 'ดานัง-โฮจิมินห์’ ปั้นสองเมืองสู่ ‘ฮับการเงินโลก’

‘เวียดนาม’ เร่งปฏิรูป 'ดานัง-โฮจิมินห์’ ปั้นสองเมืองสู่ ‘ฮับการเงินโลก’

เวียดนามเร่งปฏิรูป 'ดานัง-โฮจิมินห์’ ปั้นสองเมืองสู่ศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ คาดเริ่มดำเนินการเต็มที่ภายในปี 2030

KEY

POINTS

  • เวียดนามตั้งเป้าพัฒนาเมืองดานังและโฮจิมินห์ให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ (IFC) แบบคู่ขนาน เพื่อดึงดูดเงินทุนจากต่างชาติ และผลักดันประเทศสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2045
  • มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ โดยโฮจิมินห์ลงทุนราว 7 พันล้านดอลลาร์เน้นด้านการธนาคารและฟินเทค ส่วนดานังจะเน้นการเงินสีเขียว บริการดิจิทัล และแซนด์บ็อกซ์สำหรับคริปโทเคอร์เรนซี
  • รัฐบาลเตรียมออกมาตรการดึงดูดการลงทุนตามโมเดลของดูไบ เช่น การลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 30 ปี, การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการออกวีซ่าระยะยาวเพื่อดึงดูดบริษัทระดับโลก

“ดานัง” หนึ่งใน สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ใน เวียดนาม มีหาดทรายขาว มีทุ่งโล่งกว้าง มีเกาะเทียม 5 แห่งที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกาะต้นปาล์มของดูไบ หากเวียดนามทำตามแผนที่วางไว้สำเร็จสถานที่เหล่านี้อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ (International Financial Center:IFC) ร่วมกับนครโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าของประเทศที่อยู่ห่างจากดานังไปทางใต้ราว 900 กิโลเมตร

เป้าหมายในการเป็นฮับการเงินของเวียดนามนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อดึงดูดเงินทุนต่างชาติมหาศาลให้ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจสู่ตัวเลขสองหลัก และผลักดันเวียดนามก้าวขึ้นเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2045 และโครงการ IFC นี้จะเป็นแหล่งรวมธุรกิจภาคการเงินระหว่างประเทศที่หลากหลาย อันจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเงินทุนสู่เวียดนาม

ริชาร์ด แมคเคลนเลน รองประธานสภาที่ปรึกษา IFC ของดานัง กล่าวว่า แนวคิดสร้าง IFC ในเวียดนามหารือกันมาหลายปีแล้ว และโมเมนตัมที่แท้จริงได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในช่วง 12-18 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งผู้ริเริ่มโครงการนี้คือ พล.อ.“โต เลิม” เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามผู้สนับสนุนเรื่องธุรกิจที่ขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศเมื่อเดือน ส.ค. 2024

เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

นิกเกอิเอเชียรายงานว่า โมเดล IFC ของเวียดนามแตกต่างจากฮับการเงินอย่างลอนดอนและสิงคโปร์ แต่มีความคล้ายคลึงกับ “ดูไบ” ที่รัฐบาลจะออกนโยบายให้สิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อดึงดูดนักลงทุนจำนวนมาก และการจะสร้างฮับการเงินที่แข็งแกร่งนั้นก็ต้องเริ่มจากโครงสร้างพื้นที่พร้อมรองรับ

ผู้นำท้องถิ่นในโฮจิมินห์เล็งลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานราว 7 พันล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับการเป็นฮับการเงินโลกโดยจะเน้นไปที่การบริการด้านธนาคาร การจัดการสินทรัพย์และเงินทุน และสร้างแซนด์บ็อกซ์รองรับเทคโนโลยีการเงิน (ฟินเทค) และอนุพันธ์สินค้าโภคภัณฑ์

ส่วนโครงสร้างพื้นฐานด้านสำนักงานตอนนี้มีแล้ว 1 แห่งคืออาคารไซง่อน มารินา ตึกระฟ้า 55 ชั้นที่เพิ่งสร้างเสร็จ ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะเริ่มดำเนินงานในอาคารดังกล่าวในปลายปีนี้ และคาดว่าจะดำเนินงานได้อย่างเต็มที่ภายในปี 2030

ส่วนเมืองดานังที่จะเป็นส่วนหนึ่งของฮับการเงินเวียดนามจะพัฒนาการเงินสีเขียว, ฟินเทค, บริการดิจิทัลและแซนด์บ็อกซ์สำหรับตลาดคริปโทเคอร์เรนซี

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่รัฐได้เริ่มทดลองงานบริหาร IFC ไปแล้วในเดือนก่อน และหวังจะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและการเชื่อมต่ออีก 2 พันล้านดอลลาร์

ริชาร์ด เทง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีรายใหญ่ "ไบแนนซ์" กล่าวไว้เมื่อ ก.ย. ว่า เขาตื่นเต้นที่จะได้มีส่วนสนับสนุนการเดินทางสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เวียดนาม หลังจากเวียดนามเชิญเทงมาเป็นที่ปรึกษาอาวุโสให้กับ IFC และได้เชิญไบแนนซ์ไปเปิดสำนักงานในดานังด้วย

รัฐบาลเวียดนามยังได้ร่วมมือกับธนาคารระดับโลก อาทิ HSBC, Standard Chartered and Citi บริษัทเงินทุนอย่าง Dragon Capital และ VinaCapital บริษัทที่ปรึกษาอย่าง Deloitte, KPMG, TheCityUK และ Tony Blair Institute for Global Change นอกจากนี้ยังร่วมมือกับรัฐบาลสหราชอาณาจักร และฮับการเงินอย่างลอนดอน ดูไบ อาบูดาบี และอัสตานา

ทั้งนี้ เวียดนามต้องการให้ศูนย์กลางทางการเงินคู่ขนาน (โฮจิมินห์-ดานัง) ของตน ติดอันดับ 75 ภายในปี 2035 และอันดับที่ 20 ภายในปี 2045 ในดัชนีศูนย์กลางการเงินโลก (GFCI)

แม้ว่าโฮจิมินห์จะเป็นศูนย์กลางทางการเงินอยู่แล้วในทางเทคนิค แต่ส่วนใหญ่ให้บริการแค่ตลาดการเงินเวียดนาม ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งเพราะโฮจิมินห์ไม่มีแรงจูงใจจากรัฐบาลที่สามารถแข่งขันได้หรือมีระบบกฎหมายที่ก้าวหน้า และยังมีข้อจำกัดด้านผลิตภัณฑ์ทางการเงินและการไหลเวียนของเงินทุน โฮจิมินห์จึงติดติดอันดับที่ 95 จาก 120ในดัชนี GFCI

จ่อออกนโยบายดึงดูดเงินทุนครั้งใหญ่

เวียดนามเล็งออกมาตรการหลายรายการอาทิ ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 30 ปี ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ออกวีซ่าระยะยาว พัฒนากระบวนการจดทะเบียนธุรกิจแบบเร่งด่วน กำหนดกฎระเบียบกำกับดูแลแซนด์บ็อกซ์ พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และบล็อกเชนสำหรับการเป็นศูนย์กลางทางการเงินเพื่อดึงดูดบริษัทรายใหญ่ระดับโลก โดยเฉพาะบริษัทที่อยู่ใน Fortune 500 จะได้รับการรับรองเป็นสมาชิก IFC โดยอัตโนมัติ

นอกจากนี้ ดานังและโฮจิมินห์มีแผนจะขยายเครือข่ายรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมอีกด้วย

เมื่อเดือน ส.ค. เวียดนามเพิ่งเปิดตัวโครงการโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยมูลค่า 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์ และวางแผนสร้างรถไฟความเร็วสูงข้ามพรมแดน 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์ในอีกสองสามปีข้างหน้า และเวียดนามยังได้เร่งดำเนินการก่อสร้างสนามบิน ท่าเรือ ทางหลวง และโครงการพลังงานทั่วประเทศ

มินห์ โง ผู้อำนวยการของ Citi ประจำเวียดนามกล่าวว่า ตอนนี้เวียดนามกำลังเป็นที่จับตาในฐานะ IFC แห่งอนาคตที่มีศักยภาพ และได้รับการยอมรับในด้านโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เติบโตอย่างรวดเร็ว และประเทศตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม โงเตือนว่าการเดินทางจาก ‘ผู้เข้าแข็งขันหน้าใหม่’ ไปสู่ ​​‘ผู้เล่นระดับโลกที่มั่นคง’ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจำเป็นต้องมีการปฏิรูปอย่างยั่งยืนและท้าทายในด้านต่างๆ เช่น การปรับแนวทางการกำกับดูแล การพัฒนาตลาดทุนและโครงสร้างพื้นฐาน และโจทย์ใหญ่สำหรับหน่วยงานกำกับดูแลคือ เวียดนามควรเปิดตลาดให้กว้างมากเพียงใด

ความท้าท้ายด้านกฎหมายของเวียดนาม

หลายปีที่ผ่านมาธนาคารกลางเวียดนามควบคุมการไหลเวียนของเงินตราต่างประเทศอย่างเข้มงวดเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและปกป้องการส่งออก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยในไตรมาสที่สามของปีนี้จีดีพเติบโตอยู่ที่ 8.23% แต่สิ่งสำคัญในการเป็นฮับการเงินระดับนานาชาติคือ การเคลื่อนย้ายเงินทุนได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

“ปัจจุบันเวียดนามยังคงควบคุมเงินทุนอยู่บ้าง และแม้ว่าการควบคุมเหล่านี้จะมีความสำคัญต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค แต่การเปิดเสรีอย่างค่อยเป็นค่อยไปก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล การสร้างสมดุลนี้จะเป็นหนึ่งในความท้าทายที่มีความอ่อนไหวที่สุดสำหรับหน่วยงานกำกับดูแล” มินห์กล่าว

ร่างกฎระเบียบในปัจจุบันระบุว่า เวียดนามจะอนุญาตให้มีการไหลเวียนของเงินทุนได้อย่างเสรีทางเดียวเท่านั้น คือจาก IFC เข้าสู่ตลาดภายในประเทศ แต่ไม่อนุญาติให้ไหลเวียนจากตลาดในประเทศสู่ IFC แต่เงินทุนสามารถเคลื่อนย้ายระหว่าง IFC และตลาดโลกได้อย่างอิสระ

วิลลี ทาโนโต ผู้อำนวยการอาวุโส Fitch Ratings แนะว่า เวียดนามสามารถแยกกิจกรรมทางการเงินในประเทศและต่างประเทศออกจากกันเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากทั้งสองส่วนนี้ได้

ทาโนโตกล่าวว่า ธนาคารท้องถิ่นชั้นนำและสถาบันการเงินต่างชาติสามารถระดมเงินทุนสกุลเงินต่างประเทศล็อตใหญ่จากตลาดค้าส่งใน IFC ได้โดยไม่กระทบกับระบบธนาคารพาณิชย์รายย่อยที่ใช้สกุลเงินท้องถิ่น,การปล่อยสินเชื่อแก่ SME หรือบิดเบือนปริมาณเงินและอัตราแลกเปลี่ยนในประเทศอย่างมีนัยยะสำคัญและเตือนว่า ฮับการเงินมีความเสี่ยงที่กฎระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเงินภายในประเทศและต่างประเทศจะเกิดช่องโหว่ เนื่องจากความแตกต่างของกฎระเบียบจะสร้างแรงจูงใจให้เกิดการหาประโยชน์จากช่องว่างทางกฎหมาย

ทาโนโตเสริมอีกว่า การเปิดตลาดที่มากเกินไปก็มีความเสี่ยงที่นำไปสู่การหลีกเลี่ยงภาษี, การจัดหาเงินทุนผิดกฎหมาย, และการฟอกเงิน

ความท้าทายอีกประการคือ ตัวระบบกฎหมายของเวียดนาม เพราะใช้ระบบกฎหมายแพ่ง (Civil law) ขณะที่บริษัทระหว่างประเทศหลายแห่งและการค้าโลกส่วนใหญ่ใช้กฎหมายจารีตประเพณี (common law)

อเล็กซานดรา สมิธ กงสุลใหญ่อังกฤษประจำเวียดนามกล่าวว่า จะสนับสนุนและแนะให้เวียดนามพิจารณานำกฎหมายจารีตประเพณีมาใช้เป็นกรอบทางกฎหมายสำหรับ IFC และเปิดโอกาสให้ผู้พิพากษาต่างชาติสามารถปฏิบัติหน้าที่ภายใน IFC ได้

ขณะที่เล มินห์จิประธานศาลฎีกาเวียดนาม ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายจารีตประเพณีใน IFC ของเวียดนามเมื่อเดือนก.ย. และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามหลักกฎหมายของเวียดนาม

ด้านลี เหงียน ผู้จัดการสถาบันโทนี่ แบลร์ แนะว่าสิ่งสำคัญคือเวียดนามต้องตัดสินใจอย่างถูกต้องในเรื่องของกระบวนการกฎหมายตั้งแต่จัดตั้ง และควรเริ่มต้นด้วยการแต่งตั้งผู้พิพากษาและอนุญาโตตุลาการที่ได้รับการยอมรับทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนตั้งแต่เริ่มต้น และลงทุนพัฒนาศักยภาพผู้พิพากษาและอนุญาโตตุลาการในท้องถิ่นต่อไปในอนาคต

แม้แหล่งข่าวหลายคนระบุว่าเวียดนามไม่อาจนำกฎหมายจารีตประเพณีมาใช้ในเร็วๆ นี้ แต่ดูเหมือนว่าประเทศยินดีเปิดรับผู้พิพากษาต่างชาติเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน