แอร์บัส ‘ขายดีแซง’ โบอิ้ง ‘ครั้งแรก’ ในรอบ 50 ปี ยุโรปผงาดแทนสหรัฐในเวทีการบิน

หลังแข่งขันกันมานานกว่าครึ่งศตวรรษ สมรภูมิท้องฟ้าได้พลิกขั้ว เมื่อเครื่องบินโดยสารตระกูล A320 ของแอร์บัส ‘แซงหน้า’ 737 ของโบอิ้ง ขึ้นแท่น ‘เครื่องบินขายดีที่สุดในโลก’ เป็นครั้งแรก ท่ามกลางปัญหาคุณภาพที่ยังรุมเร้าแบรนด์อเมริกันรายนี้
เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า เครื่องบินโดยสารรุ่นเรือธง A320 ของแอร์บัส (Airbus) ทำสถิติ “แซงหน้า” 737 ของโบอิ้ง (Boeing) ในด้านยอดส่งมอบเป็นครั้งแรก นับเป็นการขึ้นนำหลังจากแข่งขันกันมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ขณะที่ Boeing แห่งอเมริกา ยังคงเผชิญปัญหาด้านคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
ตามข้อมูลของนักวิเคราะห์การบิน ร็อบ มอร์ริส ซึ่งอ้างอิงจากฐานข้อมูลของ Cirium ระบุว่า จนถึงวันพุธที่ผ่านมา แอร์บัสได้ส่งมอบเครื่องบินตระกูล A320 รวมแล้ว 12,260 ลำทั่วโลก แซงหน้า 737 ของโบอิ้งขึ้นเป็นเครื่องบินโดยสารที่มียอดส่งมอบมากที่สุดในโลก
เครื่องบินทั้งสองรุ่น A320 และ 737 เป็นเครื่องบินโดยสารแบบลำตัวแคบ และทางเดินเดี่ยวที่รองรับผู้โดยสารได้ราว 100–200 คน ใช้กันอย่างแพร่หลายในยุโรปและสหรัฐ สำหรับเที่ยวบินระยะสั้นภายในภูมิภาค และได้กลายเป็นเครื่องบินที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตของสายการบินราคาประหยัด
สนามนี้จึงกลายเป็น “สมรภูมิหลัก” ระหว่างแอร์บัสและโบอิ้ง ทั้งสองบริษัทต่างเปิดตัวรุ่นอัปเกรดของเครื่องบินหลักของตน ได้แก่ A321 และ 737 MAX เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด
ในญี่ปุ่น เครื่องบินลำตัวแคบถูกใช้งานโดยทั้ง All Nippon Airways (ANA) และ Japan Airlines (JAL) โดย JAL จัดซื้อเครื่องบินจากโบอิ้งเป็นหลัก และมีสัดส่วนจากแอร์บัสเพียงประมาณ 10% ส่วน ANA มีเครื่องบินตระกูล A320 คิดเป็นราว 30% ของฝูงบินทั้งหมด
โบอิ้งเปิดตัวเครื่องบินรุ่น 737 เป็นครั้งแรกในปี 1967 ในขณะที่แอร์บัสเริ่มต้นช้ากว่าราว 20 ปี แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แอร์บัสได้เร่งส่งมอบเครื่องบินถึง 500–600 ลำต่อปี ทำให้สามารถไล่ทันคู่แข่งได้สำเร็จ
ที่ผ่านมา โบอิ้งเคยครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบินมานาน ด้วยความเชี่ยวชาญทั้งในเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่และเครื่องบินขนาดกลาง ซึ่งในปี 1970 ฝรั่งเศสและเยอรมนีตะวันตกได้จัดตั้งกิจการร่วมค้า ซึ่งต่อมากลายเป็น “แอร์บัส” โดยสเปนและสหราชอาณาจักรเข้าร่วมในภายหลัง จนกลายเป็นโครงสร้างของบริษัทในปัจจุบัน
ในอีกด้านหนึ่ง “COMAC” บริษัทการบินของรัฐบาลจีนก็ผลิตเครื่องบินที่มีลักษณะใกล้เคียงกับ A320 และ 737 แต่เนื่องจากยังไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เครื่องบินของ COMAC จึงจำกัดการใช้งานเฉพาะภายในประเทศจีน ทำให้ในตลาดโลก ยังมีเพียงแอร์บัสและโบอิ้งที่ครองส่วนแบ่งหลักอยู่
การขึ้นมาของแอร์บัสในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจาก “ความผิดพลาดของโบอิ้ง” โดยเฉพาะเหตุ เครื่องบิน 737 MAX ตกติดต่อกันในปี 2018 และ 2019 และต่อเนื่องมาด้วยปัญหาควบคุมคุณภาพ เช่น กรณีฝาครอบประตูหลุดออกกลางอากาศในปี 2024
เพื่อป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าว สำนักงานการบินพลเรือนสหรัฐ (FAA) ได้กำหนดเพดานการผลิต 737 MAX ไว้ที่ ไม่เกิน 38 ลำต่อเดือน” ซึ่งทำให้กระบวนการผลิตหยุดชะงักและบริษัทขาดทุนต่อเนื่องถึง 12 ไตรมาสติดต่อกัน
ทั้งนี้ กุญแจสำคัญของการฟื้นตัวของโบอิ้งอยู่ที่การเพิ่มขีดจำกัดการผลิต และการพัฒนาโมเดลใหม่
หาก FAA เห็นชอบว่าโบอิ้งได้ปรับปรุงคุณภาพแล้ว อาจอนุมัติให้เพิ่มการผลิตเป็น 42 ลำต่อเดือน ตามการประเมินของรอนัลด์ เอปสไตน์ จากหน่วยหลักทรัพย์ของ Bank of America ซึ่งคาดว่า FAA จะอนุมัติได้ภายใน ไตรมาส 4 (ต.ค.–ธ.ค.) ของปีนี้
อ้างอิง: Nikkei







