World Bank เตือนไทยต้องกล้าเดินเกมใหม่ ปลดล็อกกับดักรายได้ปานกลาง

World Bank เตือนไทยต้องกล้าเดินเกมใหม่ ปลดล็อกกับดักรายได้ปานกลาง

ธนาคารโลกย้ำ “ไทยต้องเลิกหยุดอยู่กับที่” หลังการปฏิรูปเชิงโครงสร้างหยุดชะงักมานานกว่า 10 ปี จำเป็นต้องปฏิรูป และเดิมพันใหม่เพื่อพาประเทศออกจาก “กับดักรายได้ปานกลาง” แนะ 5 อุตสาหกรรมอนาคต พร้อมลงทุนใน “แรงงานแห่งอนาคต” และขยาย “ศูนย์การเติบโต” ออกนอกกรุงเทพฯ

KEY

POINTS

  • ธนาคารโลกชี้ว่า โมเดลเศรษฐกิจเดิมที่เคยทำให้ไทยประสบความสำเร็จ ได้หยุดนิ่งมานานกว่าทศวรรษ และไม่เพียงพอที่จะพาประเทศก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางได้อีกแล้ว
  • เสนอให้ไทยใช้จุดแข็งที่มีอยู่ต่อยอดสู่ 5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต พร้อมเปิดเสรีภาคบริการมากขึ้นเพื่อดึงการลงทุนต่างประเทศ และลดอุปสรรค Ease of Doing Business
  • ให้ความสำคัญกับ "ทุนมนุษย์" ต้อง “ลงทุนอย่างฉลาดในคนรุ่นใหม่” เพราะประชากรไทยเติบโตช้ากว่าเพื่อนบ้าน สู้เรื่องจำนวน และต้นทุนต่ำไม่ได้แล้ว

 

 

 

"ประเทศไทย" ตั้งเป้าหมายหลุดพ้นจากสถานะประเทศรายได้ปานกลาง ขึ้นไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2580 หรืออีก 12 ปีจากนี้ ซึ่งหมายความว่าเราจะต้องบรรลุเป้าหมายการเติบโตของจีดีพีให้ได้เฉลี่ยปีละประมาณ 5% 

แต่หากดูจากคาดการณ์จีดีพี 2% ของปีนี้ และย้อนหลังกลับไป 10 ปีที่เรายังไม่เคยไปแตะถึงตัวเลขนั้นได้เลยกำลังสะท้อนว่า การจะหลุดออกจาก "กับดักรายได้ปานกลาง" อาจเป็นความท้าทายกว่าที่คิดไว้มาก

“กรุงเทพธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ "เมลินดา กู้ด" (Melinda Good) ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําประเทศไทย และประเทศเมียนมา เพื่อร่วมหาคำตอบให้ประเทศไทยว่าจะออกจากกับดัก “Out of the Trap"  ได้อย่างไร โดยเฉพาะกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ในวันที่โลก และเครื่องยนต์เศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนแปลงเร็วชนิดตามแทบไม่ทัน

ผู้บริหารธนาคารโลก (World Bank) กล่าวว่า ประเทศไทยเคยเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว จากประเทศเกษตรกรรมรายได้ต่ำ สู่ประเทศรายได้ปานกลางในเวลาเพียงรุ่นเดียว แต่ในเวลานี้สิ่งที่พาไทยมาถึงตรงนี้ได้กลับไม่เพียงพออีกแล้วสำหรับก้าวต่อไป เพราะเครื่องยนต์เดิมเริ่มหมดแรง ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล และนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็ว

การเปลี่ยนผ่าน 'หยุดนิ่ง' มากว่า 10 ปี 

"การที่ไทยมาถึงจุด 'กับดักรายได้ปานกลาง' ได้หมายความว่าประเทศไทยเคยประสบความสำเร็จอย่างมากในการพัฒนาเศรษฐกิจ จนกลายเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับบน (Upper-middle income) ภายในเวลาเพียงชั่วรุ่นเดียว ดังนั้นเวลาพูดถึงกับดักรายได้ปานกลาง จริงๆ เรากำลังพูดถึงย่างก้าวช่วงสุดท้ายของการพัฒนาไปสู่อีกขั้น เพียงแต่สิ่งที่เคยใช้ได้ผลในการเปลี่ยนวิถีการทำงาน วิถีชีวิต การเติบโต และการเรียนรู้ของคนไทย 'มันได้ทำไปหมดแล้ว' และการเปลี่ยนผ่านของไทย 'หยุดนิ่ง' มานานกว่าทศวรรษแล้ว"

กู้ดมองว่า "การเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้าง" ที่เคยผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นมาเป็นประเทศรายได้ปานกลางได้สำเร็จ "หยุดนิ่งมานานกว่าทศวรรษ" สัดส่วนแรงงานในภาคเกษตรแทบไม่เปลี่ยน เรายังไม่เห็นการขยับเข้าสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือการเกษตรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ 

ส่วน "การลงทุนในนวัตกรรม การวิจัย และพัฒนา" รวมถึง "การศึกษาสำหรับทักษะอนาคต" ก็ยังน้อยเมื่อเทียบกับประเทศที่ก้าวพ้นกับดักไปได้แล้ว เช่น "เกาหลีใต้" หรือประเทศที่กำลังเร่งขึ้นมาอย่าง "เวียดนาม"

ตอนนี้ประเทศไทยเริ่มมาในเชิงนวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น มีดัชนีนวัตกรรมของตัวเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่มี แต่โดยรวมแล้ว การใช้งบลงทุนด้าน "นวัตกรรม และการศึกษาสำหรับอนาคต" ไม่ใช่แค่การศึกษาพื้นฐาน ยังต่ำกว่าเกาหลีใต้ และประเทศคู่แข่งอื่นๆ อย่างอื่นมาก 

อาจเรียกได้ว่าโมเดลการเติบโตของไทยกำลังเผชิญช่วงรอยต่อสำคัญ ซึ่งสิ่งที่เคยใช้ได้ผลในอดีต ไม่สามารถพาไปสู่ขั้นต่อไปของการพัฒนาได้อีกแล้ว

World Bank เตือนไทยต้องกล้าเดินเกมใหม่ ปลดล็อกกับดักรายได้ปานกลาง

จะหลุดกับดักต้องเดิมพันเศรษฐกิจใหม่

แม้จะดูเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ผู้บริหารเวิลด์แบงก์ก็ไม่ได้มองภาพประเทศไทยในเชิงลบมากนัก โดยเน้นมองที่ความเป็นจริง ปิดจุดอ่อน และเสริมจุดแข็งที่มี และสิ่งแรกที่ประเทศไทยควรทำในตอนนี้ก็คือ "หยุดฉุดรั้งตัวเอง" 

กู้ดเสนอว่าไทยควรใช้จุดแข็งที่มีอยู่ เช่น ความเป็นจุดยุทธศาสตร์กลางอาเซียน, โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแรง และชื่อเสียงของสินค้าไทยในระดับโลก มาต่อยอดสู่ “5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ได้แก่

  1. บริการดิจิทัล (Digital Services)
  2. การผลิตขั้นสูงสีเขียว (Advanced & Green Manufacturing)
  3. เกษตรอุตสาหกรรม (Agribusiness)
  4. การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และเชิงสุขภาพ (Sustainable Tourism)
  5. เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)

เรื่องเกษตรอุตสาหกรรม (Agribusiness) หรือแนวคิด “ครัวของโลก” นั้น ไทยมีข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติทั้งในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และความเชื่อมั่นในสินค้าไทย ผู้บริโภคทั่วโลกมองว่า สินค้าไทยปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ ซึ่งสามารถต่อยอดเป็น “แบรนด์ระดับชาติ” ได้

หากไทย “เลือกเดิมพัน” ในทั้งห้าด้านนี้หรือบางด้านจากห้านี้ สิ่งที่ควรมองต่อคือ การบริหารจัดการภาครัฐแบบบูรณาการ เพื่อให้ทรัพยากรทางการคลังถูกใช้ตรงจุดที่สุด เช่น ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะเพื่อรับมือสภาพภูมิอากาศ (Climate-Smart Infrastructure) ซึ่งจะเอื้อต่อทั้ง “การท่องเที่ยวเชิงยั่งยืน” และ “อุตสาหกรรมสีเขียว”

แต่การจะผลักดันเศรษฐกิจใหม่ให้เกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มจากการ “เปิดภาคบริการ” และ “ลดอุปสรรคในการแข่งขัน” ซึ่งยังคงเป็นจุดอ่อนของไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

กู้ด กล่าวว่า ภาคบริการของไทยยังค่อนข้างปิดกว่าหลายประเทศในภูมิภาค ทั้งที่เป็นภาคเศรษฐกิจที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุดในโลก และในอาเซียน การเปิดภาคบริการให้มากขึ้นจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยรุ่นใหม่เข้ามาแข่งขันในตลาด "นวัตกรรมดิจิทัล" ได้ด้วย

เมื่อเทียบกับ "เวียดนาม" จะเห็นได้ว่าเวียดนามเลือกเปิดรับ “การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)” ด้วยแนวทางที่ต่างจากไทย โดยเฉพาะการเปิดภาคบริการที่มากกว่า ทำให้มูลค่าการค้าในภาคบริการเพิ่มขึ้น 2.9%” พร้อมกับการเติบโตในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง (downstream manufacturing) ในอัตราใกล้เคียงกัน เท่ากับได้ผลสองต่อจากการเปิดภาคบริการ

ประเทศไทยสามารถเริ่มจากสิ่งที่ทำได้ทันที หรือ Quick Win เช่น การปรับขั้นตอนอนุญาตให้ทำธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ได้ง่ายขึ้น การส่งเสริมระบบการเงินสีเขียว และการใช้เงินภาครัฐลงทุนอย่างตรงจุดในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล พลังงานสะอาด และระบบน้ำ ซึ่งจะช่วยเตรียมพื้นที่สำหรับศูนย์ข้อมูลและอุตสาหกรรมดิจิทัลในอนาคต

พัฒนา 'ทุนมนุษย์' อีกหนึ่งกุญแจสำคัญ

แม้ไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ทั่วโลกยกย่อง แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ “ทักษะของแรงงานแห่งอนาคต” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ กู้ดย้ำว่าการพัฒนาในช่วงต่อจากนี้ไม่ใช่เรื่องของ “การผลิตสินค้า” อีกต่อไป แต่คือ “การผลิตโอกาส” ให้กับแรงงานรุ่นใหม่ในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

“เศรษฐกิจอนาคตจะไม่ใช่แค่เรื่องของการผลิตสินค้าอีกต่อไป แต่มันคือการผลิตโอกาสให้ผู้คน”

ผู้บริหารเวิลด์แบงก์ย้ำว่า “ทุนมนุษย์” คือหัวใจของการเติบโตระยะยาว โดยเฉพาะในประเทศที่มีอัตราการเกิดลดลงอย่างประเทศไทย โดยความสำคัญของการปฏิรูปการศึกษา และตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อชดเชยแรงกดดันด้านประชากร เสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจในอนาคต และสร้างงานที่ดีขึ้น ได้ถูกตอกย้ำในรายงาน Thailand Economic Monitor ฉบับก.ค. 2568 ด้วย

“เมื่อประชากรของคุณเติบโตช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน วิธีเดียวที่จะก้าวทันก็คือ การลงทุนอย่างชาญฉลาดในเด็กๆ ที่มีอยู่

หากมองไปที่เวียดนาม จะเห็นว่าเขาใช้โมเดลคล้ายจีน คือ พยายามเป็น “ศูนย์กลางการผลิตของโลก” ซึ่งทำได้เพราะมีแรงงานจำนวนมาก และค่าจ้างต่ำกว่าไทย ส่วนไทยเมื่อพูดถึงการลงทุนหรือการผลิต มักจะเจอข้อจำกัดหลายอย่างทั้งเรื่องแรงงาน และต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีโอกาสถ้าหันมาลงทุนใน “คน” เพื่ออนาคตของเศรษฐกิจไทย

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังมีข้อได้เปรียบเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ดีมาก มีระบบ Digital ID ซึ่งสามารถใช้เป็นฐานในการยกระดับทักษะแรงงานได้อย่างเป็นระบบ และอีกสิ่งหนึ่งที่ไทยทำได้ดีมากคือ การมองเรื่อง “การเติบโตแบบทั่วถึง” (inclusive growth) ไม่ใช่แค่การเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทยมาโดยตลอด ถึงแม้นโยบายบางอย่างจะทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่แนวคิดที่ว่าการเติบโตต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มันอยู่ในจิตสำนึกของประเทศนี้

พูดง่ายๆ คือ “ต้องปลดล็อกศักยภาพทั้งในเชิงคนและพื้นที่" ไม่ให้กระจุกตัวเฉพาะกรุงเทพฯ เพราะไทยยังมีโอกาสอีกมาก ในฐานะผอ.เวิลด์แบงก์ประจำประเทศไทย ได้เดินทางไปหลายภูมิภาคเพื่อพูดคุยกับภาครัฐ และเอกชนเรื่องการลงทุนที่สมเหตุสมผลนอกเหนือจากกรุงเทพฯ เพื่อให้มีการกระจาย “ศูนย์กลางการศึกษา และการเติบโต” หลายจุด และนี่อาจเป็น “โอกาสของรัฐบาลใหม่” ที่จะใช้จังหวะการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และการเลือกตั้งในปีหน้า มาผลักดันนโยบายใหม่ๆ ที่มองไกลกว่าเดิม เพราะตอนนี้คือ “ช่วงเวลาแห่งโอกาส” 

เสนอ ‘Quick Win’ดึงต่างชาติ

สำหรับ “Quick Win” ที่จะสร้างผลลัพธ์รวดเร็ว กู้ดกล่าวว่า ประเทศไทยต้อง "หยุดฉุดรั้งตัวเอง" (Stop stopping itself) ซึ่งขวางการเข้ามาของ “ผู้ประกอบการนวัตกรรม” ทั้งไทย และต่างชาติ การเปิดภาคบริการที่กำลังเติบโตนี้ไม่ต้องใช้งบประมาณ แต่ต้องตัดสินใจลงมือทำ เพราะมีหลายบริษัทอยากเข้ามาในไทย ด้วยเหตุผลว่าไทยมีเสถียรภาพทั้งเศรษฐกิจ และการเมืองมากกว่าหลายประเทศในภูมิภาค

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ การปรับ Ease of Doing Business ทำให้การเริ่มต้นธุรกิจง่ายขึ้น ดึงดูดงานมูลค่าเพิ่มสูงและเทคโนโลยีใหม่เข้ามาในไทย เพราะตอนนี้ “อุปสรรคยังเยอะเกินไป” บริษัทหลายแห่งเกือบจะลงทุนในไทย แต่สุดท้ายไปลงที่ประเทศเพื่อนบ้านแทน เพราะขั้นตอนยุ่งยากเกินไป ทั้งที่นี่มีจุดแข็งมากมาย หากรัฐลดอุปสรรคทางกฎหมาย และระบบอนุญาตให้ธุรกิจเทคโนโลยีเกิดได้ง่ายขึ้น จะเป็น “Quick Fix ที่เปลี่ยนเกมได้จริง” โดยไม่ต้องใช้เงิน และจะช่วยให้ไทยเป็น “ศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค” ได้

"ในปีหน้า ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมประจำปีของธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟ (2026 Annual Meetings of the World Bank Group (WBG) and the International Monetary Fund (IMF) ซึ่งตอนนี้เรากำลังทำงานร่วมกันกับภาครัฐและเอกชน เพื่อกำหนดให้ชัดเจนว่า “ตัวขับเคลื่อนการเติบโต” และ “ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ” ของไทยในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนรุนแรง (radical uncertainty) ควรเป็นอย่างไร"

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์