พิษของประชามติ (อังกฤษ) กรณีศึกษา Brexit | กันต์ เอี่ยมอินทรา

พิษของประชามติ (อังกฤษ) กรณีศึกษา Brexit | กันต์ เอี่ยมอินทรา

ดูกรณีศึกษาพิษของการลงประชามติ Brexit ของอังกฤษเมื่อเกือบสิบปีก่อน ไทยแน่ใจหรือไม่หากต้องเปิดลงประชามติเรื่อง MOU 43 และ 44

ประชามติจะให้ประชาชนโหวตว่าเอา หรือไม่เอา MOU43 และ 44 ถือว่ามีความเสี่ยงอย่างยิ่ง

เสี่ยงพอๆ กับกรณีการออกจากประชาคมยุโรปของอังกฤษ หรือ Brexit ซึ่งถึงแม้ปัจจุบันจะผ่านมาแล้วเกือบสิบปี ก็สามารถพูดได้ว่าคนอังกฤษยังคงต้องมารับผลกรรมจากการลงประชามติในครั้งนั้น

แล้วการจะให้ประชาชนตัดสินว่าจะเอา หรือไม่เอา MOU43 และ 44 ของไทย กับกรณี Brexit มันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร? แล้วเราคนไทย สามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างจากบทเรียนราคาแพงที่คนอังกฤษได้รับจากการตัดสินใจ(ที่หลายคนมองว่าผิดพลาด)ในครั้งนั้น?

ในทางทฤษฎีในระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องที่ดีที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจครั้งใหญ่ ที่จะกำหนดทิศทางของประเทศและผลลัพธ์ทั้งดีและเสียที่ประชาชนจะต้องจำยอมรับเมื่อตัดสินใจแล้ว แต่หากเรื่องนั้นๆเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อน มีเทคนิครายละเอียดมากมาย ที่ต้องการข้อมูลอย่างมากในการตัดสินใจล่ะ?

อย่าง Brexit ของอังกฤษนั้นก็มีการรณรงค์ให้ความรู้จากทั้งฝั่งสนับสนุนให้อยู่ในประชาคมยุโรปต่อ และอีกฝ่ายที่ต้องการให้ออก แต่ข้อมูลที่ท่วมท้นมหาศาลนั้นไม่อาจกลบกระแสความรู้สึกของประชาชนได้ Brexit ถูกทำให้เป็นอาวุธทางการเมือง นักการเมืองใช้ Brexit โกยคะแนนเสียงและเข้าสู่อำนาจ เพราะนักการเมืองรู้ว่าแท้จริงแล้ว อารมณ์จะอยู่เหนือเหตุผลถ้ากระตุ้นให้ถูกทิศถูกทาง

ในวันลงประชามตินั้น คนฝ่าลมฝ่าฝนออกไปใช้สิทธิสูงถึง 72% ซึ่งถือว่าสูงมากๆ ซึ่งผลก็ปรากฎว่าฝ่ายถอนตัวนั้นเฉือนชนะฝ่ายให้คงอยู่ในอียู 52% ต่อ 48% และหากวิเคราะห์ลงในรายละเอียดจะพบว่า ในสกอตแลนด์และไอร์แลนด์เหนือนั้นโหวตให้คงอยู่ในอียู เช่นเดียวกับคนในเมืองหลวงอย่างลอนดอนที่เปอร์เซนต์นั้นอยู่ที่ 55-62% ทิ้งห่างจากฝั่งถอนที่อยู่ที่ 38-44% ถือว่าห่างเยอะ

แต่ภูมิภาคอื่นๆ นอกเหนือจาก 3 ภูมิภาคที่กล่าวมา หมดทั้งประเทศเห็นต่างให้ถอนตัว จึงทำให้สุดท้ายผลรวมของทั้งประเทศคะแนนเฉลี่ยนั้นเฉือนกันนิดเดียวที่ 4% เท่านั้น ทุกคนต่างรู้ดีว่าคนอังกฤษนั้นแท้จริงแล้วค่อนไปทางอนุรักษนิยม มีความรักและภูมิใจอดีตจักรวรรดิอังกฤษที่เคยรุ่งเรือง และฐานเสียงส่วนใหญ่ของประเทศก็คือไม่ใช่คนหนุ่มสาว แต่คือผู้สูงวัย

ผลลัพธ์โดยตรงที่ประชาชนทุกคนได้รับโดยไม่แบ่งแยกว่าใครโหวตอะไร ไม่แบ่งแยกทัศนคติทางการเมือง ไม่แบ่งแยกสีผิว ไม่แบ่งแยกฐานะความร่ำรวย ไม่แบ่งแยกอายุ คือ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น การจำกัดโอกาสในการทำงาน การทำธุรกิจที่ยากขึ้น มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น จนกระทั่งวันนี้ที่คนอังกฤษก็ยังบ่นถึงดอกผลความเสียหายจาก Brexit

มายาคติที่หลอกคนอังกฤษในครั้งนั้นว่า Brexit จะทำให้ประเทศดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น มีสังคมที่ดีขึ้น ก็ไม่เป็นจริง เพราะทุกมิติแย่ลงหมด โดยเฉพาะเรื่องของปากท้องและความปลอดภัย

นี่คือความสวยงามและพิษของประชามติ ในเรื่องที่ซับซ้อนเกินความเข้าใจของประชาชนคนธรรมดา ซ้ำร้ายยังถูกปั่นกระแสให้กลายเป็นบันไดหรือทางออกแก่นักการเมือง