'AMD' บรรลุดีลใหญ่ OpenAI ดันหุ้นพุ่ง 24% มูลค่าบริษัทแซง Coca-Cola

มูลค่าบริษัท 'AMD' พุ่งแซงหน้าบิ๊กเนม Coca-Cola, Chevron, GE ไปเรียบร้อย หลังบรรลุดีลใหญ่แห่งปีกับ OpenAI ประกาศศักดาเรื่องชิปเอไอ ไล่ตามหลัง Nvidia มาติดๆ
บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ "แอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์" (AMD) ได้ประกาศบรรลุข้อตกลงครั้งสำคัญกับบริษัท "OpenAI" เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) เปิดโอกาสแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการต่อกรกับคู่แข่งรายใหญ่อย่าง "Nvidia Corp." ในศึกเอไอที่กำลังร้อนแรง และทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งทะยานในขณะนี้
ราคาหุ้นของ AMD พุ่งขึ้นสูงถึง 24% ไปแตะ 203.71 ดอลลาร์ หลังจากการประกาศข้อตกลงเมื่อวันจันทร์ ส่งผลให้มูลค่าตลาดของบริษัทเพิ่มขึ้นอีก 6.34 หมื่นล้านดอลลาร์ จนพุ่งทะยานไปแตะระดับสูงสุดที่เคยทำมาที่ 3.306 แสนล้านดอลลาร์ กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า Coca-Cola, General Electric และ Chevron ไปแล้ว
ข้อตกลงนี้ถือเป็นบททดสอบครั้งสำคัญสำหรับ AMD ภายใต้การนำของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร "ลิซ่า ซู" ซึ่งอาจสร้างรายได้ใหม่หลายหมื่นล้านดอลลาร์ และตอกย้ำสถานะของบริษัทในฐานะคู่แข่งที่สำคัญในเทคโนโลยี AI
“นี่ถือเป็นการขยายการติดตั้งที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยประกาศจนถึงตอนนี้” ลิซ่า ซู ซีอีโอของ AMD กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับบลูมเบิร์กทีวี “ตอนนี้เรากำลังเริ่มต้นการขยายโครงสร้างขนาดมหาศาล นี่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเรา สำหรับผู้ถือหุ้น และทีมงานของเรา”
ภายใต้ข้อตกลงครั้งนี้ OpenAI จะติดตั้งชิปหน่วยประมวลผลกราฟิก หรือ GPU ของ AMD ในศูนย์ข้อมูลขนาด 6 กิกะวัตต์ เป็นระยะเวลาหลายปี ซึ่งแม้ว่าจะเป็นดีลที่มีมูลค่าเพียงครึ่งหนึ่งของข้อตกลงที่ทำกับบริษัทคู่แข่งเบอร์ 1 อย่าง "อินวิเดีย" (Nvidia) ไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็ถือเป็นการประกาศศักดาในสมรภูมิชิปเอไอ และยังเป็นการเตรียมการของ OpenAI ที่จะเข้าซื้อหุ้นจำนวนมากใน AMD
OpenAI จะสามารถซื้อหุ้นของ AMD ได้มากถึง 160 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 เพนนี ขึ้นอยู่กับว่าโครงการจะบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งเทียบเท่ากับประมาณ 10% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้ว (outstanding stock)
เป้าหมายนี้กำหนดให้ราคาหุ้นของ AMD ต้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในระดับราคาสูงสุดของข้อตกลงราคาหุ้นจะต้องแตะ 600 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาปิดตลาดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ 164.67 ดอลลาร์
ดีลนี้ถือเป็นข้อตกลงดาต้าเซ็นเตอร์ครั้งใหญ่ล่าสุดสำหรับ OpenAI ซึ่งกำลังขยายขีดความสามารถในการประมวลผล และเป็นการเดิมพันที่ไม่เคยมีมาก่อนของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีว่า ความต้องการเครื่องมือ AI ประสิทธิภาพสูงจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายน Nvidia เพิ่งเปิดเผยว่าจะลงทุนสูงถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ใน OpenAI เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเอไอ และดาต้าเซนเตอร์ใหม่ขนาดกำลังไฟ 10 กิกะวัตต์เป็นอย่างน้อย ซึ่งเทียบเท่ากับความต้องการไฟฟ้าสูงสุดของมหานคร "นิวยอร์กซิตี้"
หวั่น 'ฟองสบู่ AI' แตกเหมือนยุค 'ดอตคอม'
อย่างไรก็ดี ดีลนี้ก็มี "ความเสี่ยง" ที่มองข้ามไม่ได้ด้วยเช่นกัน เพราะการพุ่งแรงของ AMD อาจยิ่งถูกจับเชื่อมโยงกับตลาด AI ที่บางคนกังวลว่ากำลังอยู่ใน "ภาวะฟองสบู่" เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
มีความกังวลกันว่าอุตสาหกรรม AI อาจเผชิญชะตากรรมคล้ายกับ "กระแสดอตคอม" ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ซึ่งจบลงด้วยวิกฤติครั้งใหญ่ และการล้มละลายระลอกใหญ่ ความกังวลนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อข้อตกลงด้านชิป AI และดาต้าเซนเตอร์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์แพร่หลายไปทั่วโลก เงินทุนส่วนใหญ่มาจากเงินร่วมลงทุน หนี้สิน และล่าสุดคือข้อตกลงใหม่ๆ ที่แหวกแนว ซึ่งสร้างความกังขาให้กับนักลงทุนในวอลล์สตรีท
สำหรับ OpenAI ยังไม่ชัดเจนว่าบริษัทจะจัดหา "เงินทุน" สำหรับค่าใช้จ่ายมหาศาลที่เกี่ยวข้องกับชิป และดาต้าเซนเตอร์ที่จำเป็นในการสร้าง และใช้งานระบบ AI ขั้นสูงได้อย่างไร
เมื่อสองเดือนที่แล้ว "แซม อัลท์แมน" ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่า เขาต้องการใช้เงิน "หลายล้านล้านดอลลาร์" ไปกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซนเตอร์เพื่อการประมวลผลที่จำเป็นสำหรับบริการต่างๆ ด้าน AI และบริษัทของเขากำลังพัฒนาเครื่องมือทางการเงิน "แบบใหม่" แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
สำหรับ AMD ข้อตกลงนี้ช่วยให้เทคโนโลยีของบริษัทยังคงมีบทบาทในตลาด ในช่วงที่ OpenAI และผู้ให้บริการดาต้าเซนเตอร์ยักษ์ใหญ่รายอื่นๆ ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อขยายขีดความสามารถด้านเอไอ แม้ว่า AMD ยังคงตามหลัง Nvidia อยู่มาก ในตลาดโปรเซสเซอร์ประเภท Accelerator ก็ตาม
คาดว่ารายได้ของ AMD จะเพิ่มขึ้นถึง 6.55 พันล้านดอลลาร์ ในปีนี้ และคาดว่าการร่วมมือกับ OpenAI จะช่วยเพิ่มยอดขายในปีหน้าและจะเติบโตอย่างรวดเร็วขึ้นในปี 2027 ข้อตกลงนี้ยังจะเป็นจุดเริ่มต้นสู่การนำเทคโนโลยีของบริษัทไปใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้รายได้จากตลาดนี้สูงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ แต่ทางผู้บริหารบริษัทไม่ได้ระบุกรอบเวลาที่ชัดเจน
ที่มา: Bloomberg
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







