ไหว้พระจันทร์ไม่ใช่แค่ขนม แต่คือ ตำนาน ความเชื่อ และสายใยแห่งการกลับมาพบกัน

ไหว้พระจันทร์ไม่ใช่แค่ขนม แต่คือ ตำนาน ความเชื่อ และสายใยแห่งการกลับมาพบกัน

ไหว้พระจันทร์ไม่ใช่แค่ขนม แต่คือ ตำนาน ความเชื่อ และสายใยแห่งการกลับมาพบกัน เขียนโดย ดร.ภากร กัทชลี อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เวียนมาบรรจบอีกครั้งสำหรับ “中秋节 จงชิวเจี๋ย” เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “เทศกาลไหว้พระจันทร์” 15 ค่ำ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติจีน และปีนี้ตรงกับ 6 ตุลาคม 2568 โดยเทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่คนไทยเชื้อสายจีน รวมถึงชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย ยังคงยึดถือและสืบทอดประเพณีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีไว้ได้อย่างเหนียวแน่น หากพูดถึงความสำคัญ เทศกาลนี้ถือเป็นวันมงคลที่ชาวจีนให้ความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่จีน เพราะเป็นเทศกาลที่แฝงความหมายถึง “ความสมบูรณ์ สมดุล และการกลับมาพบกันของคนในครอบครัว”

ปีนี้ (พ.ศ.2568) ยังถือเป็นปีพิเศษ เนื่องจาก วันไหว้พระจันทร์ ตรงกับช่วงวันหยุดยาว “สัปดาห์ทอง” ของ วันชาติจีน ส่งผลให้รัฐบาลจีนประกาศเพิ่มวันหยุดอีกหนึ่งวัน รวมเป็น 8 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 1–8 ตุลาคม ซึ่งวันไหว้พระจันทร์ถือเป็นวันหยุดราชการของจีนเช่นกัน

เทศกาลไหว้พระจันทร์ หรือเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง มีความสำคัญอย่างไร

คำว่า “จงชิว” (中秋) หมายถึง “กลางฤดูใบไม้ร่วง” ปรากฏครั้งแรกในคัมภีร์พิธีกรรมโบราณ โจวหลี่ (The rites of Zhou) ตั้งแต่ก่อนสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618–907) เมื่อบ้านเมืองรุ่งเรืองและวรรณกรรมเฟื่องฟู การชมพระจันทร์ได้กลายเป็นกิจกรรมยอดนิยมของเหล่าบัณฑิตที่ชื่นชอบการร่ายบทกวีใต้แสงโคมไฟ จนกระทั่งเทศกาลนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นวันเฉลิมฉลองระดับชาติ

ชาวจีนให้ความเคารพต่อดวงจันทร์มาช้านาน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซางก็มีหลักฐานจารึกบนกระดูกสัตว์เกี่ยวกับพิธีบูชาจันทร์ และเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาหลายพันปี หนึ่งในตำนานที่โด่งดังที่สุดคือเรื่องของ “ฉางเอ๋อ” (嫦娥) หญิงสาวผู้ดื่มยาอมตะแล้วเหาะขึ้นสู่ฟ้าไปอยู่บนดวงจันทร์ ที่นั่นเธอมีสหายคือ “กระต่ายหยก” (玉兔) ผู้ตำสมุนไพรถวายเทพเจ้า

ตำนานของทั้งคู่ทำให้ดวงจันทร์กลายเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต การเกิดใหม่ และความงามอันแฝงด้วยความโหยหา กระทั่งในยุคปัจจุบัน จีนยังคงให้เกียรติตำนานนี้ โครงการสำรวจดวงจันทร์ของประเทศก็ใช้ชื่อว่า “ฉางเอ๋อ” เช่นเดียวกัน

หัวใจของเทศกาลไหว้พระจันทร์คือ “การกลับมาพบกันของครอบครัว” แต่แต่ละภูมิภาคของจีนกลับตีความเทศกาลนี้ในวิถีของตนเอง

ภาคเหนือ มีอากาศเย็นใส ท้องฟ้าเปิด ผู้คนมักออกมาชมพระจันทร์ตามสวนสาธารณะหรือบนดาดฟ้า โดยเฉพาะในกรุงปักกิ่ง ที่ยังคงรักษาประเพณีบูชา “เทพเจ้ากระต่าย” หรือ ทู่เอ๋อเย่ (兔儿爷) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเทพที่ลงมาจากดวงจันทร์เพื่อปัดเป่าความเจ็บป่วยให้ผู้คน โดยมีตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งเมืองปักกิ่งเคยเผชิญโรคระบาดร้ายแรง เทพธิดาฉางเอ๋อเมื่อมองลงมาจากดวงจันทร์เกิดความสงสาร จึงส่ง “กระต่ายหยก” ลงมายังโลกเพื่อช่วยรักษาผู้คนให้หายจากโรคร้าย กระต่ายหยกแปลงกายเป็นมนุษย์ออกช่วยเหลือจนทุกคนปลอดภัย ก่อนจะกลับขึ้นดวงจันทร์โดยไม่รับสิ่งตอบแทน ชาวเมืองซาบซึ้งในความเมตตานั้น จึงสร้าง “ตุ๊กตาเทพเจ้ากระต่าย” หรือ ทู่เอ๋อเย่ (兔儿爷) เพื่อบูชาและระลึกถึงความกรุณา เชื่อกันว่าท่านเป็นสัญลักษณ์แห่งการปัดเป่าความทุกข์ ความเจ็บป่วย และคุ้มครองครอบครัวให้สงบสุข

ภาคใต้ มีความคึกคักและสีสันสดใส ที่มณฑลฝูเจี้ยนมีการละเล่น “ป๋อปิ่ง (Bo bing)” เกมทอยลูกเต๋าโบราณจากยุคราชวงศ์หมิง–ชิง ซึ่งผู้ชนะจะได้รับขนมไหว้พระจันทร์เป็นรางวัล ถือเป็นทั้งเกมสนุกและคำอวยพรให้ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ในฝูเจี้ยนและกวางตุ้งยังมีการจุด “หอเผา” (Burning towers) กองไฟสูงที่ลุกโชติช่วงกลางฟ้า เชื่อกันว่าช่วยขับไล่สิ่งไม่ดีและเชื้อเชิญโชคลาภเข้ามาในปีใหม่

ครอบครัวชาวกวางตุ้งนิยมตั้งโต๊ะบูชา “เจ้าแม่พระจันทร์” ด้วยผลไม้ ชา และ ขนมไหว้พระจันทร์ เพื่อแสดงความขอบคุณต่อธรรมชาติ ส่วนที่มณฑลเจ้อเจียง ผู้คนจะมาชุมนุมริมแม่น้ำเฉียนถัง เพื่อชม “คลื่นมังกร” (Dragon Tide) ปรากฏการณ์น้ำหนุนที่เกิดขึ้นพร้อมพระจันทร์เต็มดวง คลื่นยักษ์ที่พุ่งสูงราวมังกรว่ายน้ำ เป็นสัญลักษณ์ของพลังและชีวิตที่ไม่สิ้นสุด

เมื่อพูดถึงวันไหว้พระจันทร์ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ “ขนมไหว้พระจันทร์” ขนมกลมๆ ที่เปรียบเหมือนดวงจันทร์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความพร้อมหน้าและความสมบูรณ์

ในสมัยโบราณ ชาวจีนจะตั้งแท่นบูชาอย่างวิจิตรในคืนวันเพ็ญเดือนแปด ประดับด้วย ขนมไหว้พระจันทร์ ผลไม้ และของเซ่นไหว้อื่นๆ เพื่อบูชาดวงจันทร์ และขอบคุณธรรมชาติ ขณะที่เทียนแดงถูกจุดขึ้นอย่างสว่างไสว สมาชิกในครอบครัวจะผลัดกันก้มกราบถวายคารวะต่อดวงจันทร์ และในช่วงเวลาสำคัญ “สตรีผู้อาวุโสของบ้าน” จะเป็นผู้ตัดขนมไหว้พระจันทร์ทรงกลมออกเป็นชิ้นๆ เพื่อแบ่งให้ทุกคนในครอบครัว การกระทำนั้นเป็นสัญลักษณ์ของ “ความพร้อมหน้าและสายใยแห่งความผูกพัน” ของคนในบ้านที่ไม่อาจขาดหายไปได้

อ่านมาถึงตรงนี้ ทุกคนคงจะรู้สึกว่า การกินขนมไหว้พระจันทร์ของคนจีน คงจะตัดแบ่งทุกครั้งเลยใช่ไหม ตอบเลยว่า “ไม่ใช่” การตัดแบ่งขนมไหว้พระจันทร์เวลากิน ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในทางใต้ของจีน และรู้หรือไม่มีประเด็นหนึ่งในโลกออนไลน์จีนที่มีการถกกันทุกปี นั่นคือ กินขนมไหว้พระจันทร์แบบไหนกันแน่ โดยเฉพาะคนจีนทางเหนือและใต้ ที่มีการกินต่างกัน

อย่างเมื่อหลายปีก่อน เมื่อปี 2021 ก็เคยกลายเป็นประเด็นร้อนแรงบนสังคมออนไลน์จีนรับคืนวันไหว้พระจันทร์กันเลยทีเดียว เมื่อมีชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนจีนภาคเหนือ เผยแพร่คลิปของภรรยาซึ่งเป็นคนจีนทางใต้ ขณะกินขนมไหว้พระจันทร์ โดยภรรยาของเขา กินขนมไหว้พระจันทร์โดยใช้ส้อมและมีดพลาสติกผ่าออกเป็นชิ้นเล็กๆ โดยในคลิประบุว่า “กินได้ 8 คนเลย” ดังนั้นก็น่าจะหมายถึงตัดแบ่งออกเป็น 8 ชิ้น โดยหนุ่มจีนคนนั้นระบุว่า รู้สึกแปลกใจที่เห็นการกินขนมไหว้พระจันทร์แบบตัดออกมาเป็นชิ้นๆ แล้วค่อยกิน เพราะในฐานะที่เขาเป็นคนจีนทางเหนือ เขากินแบบไม่หั่นมาโดยตลอด และไม่เคยเห็นการกินลักษณะนี้มาก่อนด้วย

เมื่อมีการเผยแพร่คลิปออกมา จึงกลายเป็นกระแสโดยทันที ชาวโซเชียลจีนแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้เขียนไล่อ่านจนพอสรุปได้ว่า มีทั้งคนที่บอกว่ากินแบบหั่นและกินแบบไม่หั่น ไม่ว่าจะคนเหนือหรือใต้ แต่คนเหนือที่บอกว่ากินแบบไม่หั่น หยิบกินตรงๆ เลย อาจจะมีบิออก หรือกัดโดยตรงเหมือนกินซาลาเปา

แล้วผู้อ่านวันนี้กิน ขนมไหว้พระจันทร์ หรือยัง? มีวิธีกินอย่างไร? เล่าสู่กันฟังได้นะ แต่ไม่ว่าจะกินแบบไหน อยู่ที่แห่งหนใด ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันไหว้พระจันทร์ และทุกๆ วัน 中秋节快乐! จงชิวเจี๋ยไคว่เล่อ สุขสันต์วันไหว้พระจันทร์ 

เขียนโดย ดร.ภากร กัทชลี (อ้ายจง) อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่