เปิดภารกิจ'เศรษฐกิจสีเขียว'จากออสเตรเลียสู่ไทย

ปิดฉากลงแล้วสำหรับงาน Sustainability Expo 2025 หรือ SX 2025 งานมหกรรมด้านความยั่งยืนใหญ่ที่สุดในอาเซียน สถานเอกอัครราชทูตในประเทศไทยเข้าร่วมงานอย่างแข็งขันโดยเฉพาะออสเตรเลีย
KEY
POINTS
- สถานทูตออสเตรเลียนำ 14 บริษัทเข้าร่วมงาน Sustainability Expo 2025 ในภารกิจเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy Mission) เพื่อสร้างพันธมิตรทางธุรกิจและส่งเสริมความร่วมมือด้านความยั่งยืนกับไทย
- ภารกิจมุ่งเน้นการนำเสนอแนวคิดและนวัตกรรมที่นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง เช่น โครงการลดขยะพลาสติก การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำในอ่อนนุชและมักกะสัน และเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน
- ความร่วมมือระหว่างสองประเทศครอบคลุมหลายมิติ ตั้งแต่ระดับนโยบาย การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ และการสนับสนุนทางการเงิน เพื่อช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวของไทย
ปิดฉากลงแล้วสำหรับงาน Sustainability Expo 2025 หรือ SX 2025 งานมหกรรมด้านความยั่งยืนใหญ่ที่สุดในอาเซียน สถานเอกอัครราชทูตในประเทศไทยเข้าร่วมงานอย่างแข็งขันโดยเฉพาะออสเตรเลีย
ปีนี้สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทยนำกองทัพนักธุรกิจ 14 บริษัทร่วมปฏิบัติภารกิจเศรษฐกิจสีเขียวสู่ประเทศไทย (Green Economy Mission to Thailand) ส่วนหนึ่งของงาน SX 2025 ที่ไม่ใช่แค่การหาลู่ทางธุรกิจ แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมอย่างแข็งแกร่งระหว่างออสเตรเลียกับประเทศไทยในเรื่องความยั่งยืน การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจสีเขียว
ดร.แอนเจลา แมคโดนัลด์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้ออสเตรเลียนำผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขามาพูดคุยเรื่องความร่วมมือกับประเทศไทย มีการนำเสนอโครงการลงทุน โดยสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนหนุ่มสาว แต่เป็นสตาร์ทอัพนวัตกรรมเกี่ยวกับการลดขยะพลาสติก มีผู้ชนะจากการประกวดโครงการมาพูดคุยถึงการนำไปปฏิบัติจริง
“ธีมของพาวิลเลียนในปีนี้จึงเป็นการมูฟจากแนวคิดมาสู่การปฏิบัติจริงในเชิงพาณิชย์” ทูตแมคโดนัลด์พูดถึงความแปลกใหม่ของพาวิลเลียนออสเตรเลียในปีนี้ ภายในนำเสนอตัวอย่างโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ชุ่มน้ำในอ่อนนุชและมักกะสันให้มีสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์และทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยอาศัยแนวคิดการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based Solutions), ระบบการกักเก็บพลังน้ำแบบสูบกลับ (Pumped hydro energy storage) รวมถึงการจัดทำแผนที่ระบุบริเวณที่สามารถสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับได้ โดยมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย และเครือข่ายนวัตกรรมพลาสติกอินโด-แปซิฟิก (IPPIN) โครงการระดับภูมิภาคที่เฟ้นหานวัตกรรมเพื่อจัดการปัญหาขยะพลาสติก โดยมีบริษัทต่าง ๆ เข้าร่วมประกวดนวัตกรรมของตนเอง
ทูตแมคโดนัลด์ย้ำว่า โครงการปรับเปลี่ยนบ่อขยะอ่อนนุชเป็นสวนสาธารณะเป็นตัวอย่างเชิงปฏิบัติที่ยอดเยี่ยม เปลี่ยนคอนกรีตและพื้นที่แข็งให้กลายเป็นพื้นที่ดูดซับน้ำได้ ช่วยลดน้ำไหลบ่าและน้ำท่วมน้อยลง
- นโยบายความยั่งยืนต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จะว่าไปแล้วออสเตรเลียเป็นประเทศที่มุ่งมั่นด้านนโยบายความยั่งยืน ทูตกล่าวว่า รัฐบาลออสเตรเลียเพิ่งประกาศเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในปี 2035 ซึ่งจะต่ำกว่าระดับปี 2005 ถึง 62%-70% เป็นเป้าหมายยิ่งใหญ่ที่ออสเตรเลียต้องทำให้ได้ ทั้งนี้เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่มีพรมแดนประเทศ
“สภาพภูมิอากาศ คุณภาพน้ำ คุณภาพอากาศ ส่งผลกระทบกับพวกเราทุกคน เราจึงอยากทำงานกับหุ้นส่วนและเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อแก้ปัญหาที่ประสบเหมือนๆ กัน” ตัวอย่างเช่น การหารือด้านพลังงานที่ออสเตรเลียทำกับกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับโอกาสด้านพลังงานหมุนเวียนพร้อมๆ กับการมีพลังงานในราคาเข้าถึงได้ให้กับประชาชนซึ่งเป็นประเด็นสำคัญมาก หรือการที่ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์นมในเขตร้อนพูดถึงการผลิตนมที่ยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศมากขึ้น หรือมาตรการบรรเทาอุทกภัย เหล่านี้คือสาขาที่ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ มหาวิทยาลัยในออสเตรเลียกำลังร่วมมือกับหุ้นส่วนชาวไทยในประเด็นความท้าทายที่กระทบกับทุกคน
“ด้วยเหตุนี้บริษัทออสเตรเลียเจ้าของความคิดดีๆ 14 บริษัทจึงมางาน SX 2025 เพื่อพูดคุยกับว่าที่พันธมิตรในธุรกิจสิ่งแวดล้อมที่ประเทศไทย” ทูตแมคโดนัลด์กล่าวและว่า ในระดับนโยบายออสเตรเลียให้ความช่วยเหลือการพัฒนาในเอเชียตะวันอกเฉียงใต้โครงการความเป็นหุ้นส่วนแม่น้ำโขงออสเตรเลีย, ให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิค และสร้างขีดความสามารถในภูมิภาค หรือการที่ภาคธุรกิจมีโซลูชันในเชิงพาณิชย์ ก็ถือเป็นหนทางนานัปการที่สามารถทำงานร่วมกันได้
- ความท้าทายแห่งอารยธรรม
ทูตแมคโดนัลด์เชื่อว่าการที่ทุกประเทศต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพน้ำ คุณภาพอากาศ เป็นความท้าทายที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจังทันที ไม่ใช่แค่ปัญหาในประเทศไทย
"ดิฉันคิดว่านี่คือความท้าทายของอารยธรรมที่เราต้องคนจำเป็นต้องหาทางแก้ไข มีผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการมากมายในประเทศไทยที่ทำงานกับออสเตรเลียในประเด็นเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก"
- เทรนด์ความยั่งยืนในประเทศไทย
เมื่อพูดถึงเทรนด์ความยั่งยืนในประเทศไทย ทูตแมคโดนัลด์ซึ่งอยู่ในไทยมาราว 3-4 ปี ประทับใจกับการจัดงาน Bangkok Climate Action Week ปีนี้มาก ในฐานะเป็นเวทีนำเสนอความท้าทายที่เราทุกคนต้องดำเนินการแก้ไขสู่ประชาชนในวงกว้างมากขึ้น
"ในออสเตรเลียแต่ละคนตระหนักว่าเราจะทำอะไรได้บ้างกับความท้าทายเหล่านี้ เช่น หลีกเลี่ยงใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง ใช้รถสาธารณะหรือเดิน ใช้ยานพาหนะพลังงานสะอาด เรารู้ว่าค่าครองชีพก็สำคัญสำหรับทุกคน แต่การใช้ชีวิตในวิถีแห่งความยั่งยืนในราคาเข้าถึงได้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก
ดังนั้นดิฉันคิดว่าการส่งสารนี้ออกไปถึงคนไทยในวงกว้างว่า ความยั่งยืนไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแพงๆ ไม่จำเป็นต้องทำในสเกลใหญ่ ทำเล็กๆ ก็สำคัญเช่นกัน”
- การสนับสนุนของออสเตรเลีย
สำหรับความช่วยเหลือของออสเตรเลียในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวของไทยนั้น ทูตแมคโดนัลด์กล่าวว่า นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยในออสเตรเลียรวมถึงภาคธุรกิจต่างมีแนวคิดดีๆ จึงมีวิธีการมากมายที่จะทำงานร่วมกัน ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ รัฐบาลออสเตรเลียโดยสำนักงานการเงินเพื่อการส่งออก (Export Finance Australia) สนับสนุนเงินทุนเกือบ 80 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 1,700 ล้านบาท) ให้กับธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) เพื่อทำโครงการพัฒนา หรือการเป็นพันธมิตรกับ GULF ทำระบบกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ นี่คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนมากและไทยกับออสเตรเลียยังมีโอกาสทำงานร่วมกันได้มากกว่านี้
- ร่วมเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจยั่งยืน
ดร.พอล ไกรมส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสำนักงานการพาณิชย์และการลงทุนออสเตรเลีย (ออสเทรด) กล่าวว่าบริษัทออสเตรเลีย 14 แห่งมางานนี้เพื่อสำรวจโอกาสในการลงทุน สร้างพันธมิตร และการเติบโตในตลาดไทย
เหตุผลหลักที่มานอกเหนือไปจากเรื่องธุรกิจก็คือ “เราจะแก้ไขและเผชิญกับความท้าทายใหญ่ในการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสะอาดยั่งยืนได้อย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทั้งออสเตรเลียและไทยให้ความสำคัญ” คำตอบอยู่ที่การทำงานร่วมกันดึงความเชี่ยวชาญทั้งหมดมาใช้ และต้องมั่นใจได้ว่าภาคธุรกิจร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วย สุดท้ายแล้วจะนำไปสู่การตอบสนองคนไทยและออสเตรเลีย
“สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น สะอาดขึ้น และเขียวขจีขึ้นสำหรับคนของเราจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม ผมคิดว่ามันเป็นวิสัยทัศน์ของรัฐบาลทั้งสองของเรา”
- ความท้าทายในประเทศไทย
ซีอีโอออสเทรดกล่าวว่าความท้าทายใหญ่สุดในการทำธุรกิจควบคู่กับความยั่งยืนในประเทศไทยคือการที่ธุรกิจออสเตรเลียต้องเข้าใจบริบทและสิ่งแวดล้อมที่ตนต้องทำงานด้วย ดังนั้นการสร้างพันธมิตรจึงสำคัญเพื่อให้เข้าใจสภาพแวดล้อมของธุรกิจแล้วสามารถตัดสินใจในตลาดไทยได้อย่างถูกต้อง
บทบาทของออสเทรดอยู่ที่การช่วยจับคู่ธุรกิจ หาพันธมิตรให้บริษัทได้ไปคุยกันต่อถึงโอกาสในการลงทุนและเติบโตในประเทศไทย
"ทั้งหมดนี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ภายในวันสองวัน การสร้างพันธมิตรที่แท้จริงต้องอาศัยเวลา ทั้ง 14 บริษัทที่มาล้วนเป็นดาวรุ่งในสาขาของตน มีการพัฒนาและจัดการกับปัญหาที่แตกต่างกันไป บอกไม่ได้ว่าบริษัทใดเหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด ความยั่งยืนต้องมองในหลายๆ มิติ"
- ความร่วมมือไร้ช่องว่าง
ส่วนข้อกังวลเรื่องช่องว่างระหว่างความรู้ เทคโนโลยี หรือจิตสำนึก ซีอีโอออสเทรดกล่าวว่า ช่องว่างมีเสมอจึงจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน รากฐานสำคัญประการหนึ่งของออสเตรเลียคือการทำงานในสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ระบุแล้วว่า ต้องใช้ความร่วมมือ แต่จุดแข็งหนึ่งที่ทำให้ไทยเป็นพันธมิตรที่น่าสนใจในด้านเศรษฐกิจสีเขียวคือ ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างไทยกับออสเตรเลียมีมายาวนานหลายสิบปี รู้จักกันดี รักใคร่ชอบพอกัน ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข พื้นฐานเหล่านี้ช่วยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจทำให้ธุรกิจรุ่งเรืองประสบความสำเร็จ
“เรารู้ดีว่าเรามีความท้าทายร่วมกันในเรื่องความยั่งยืน ความท้าทายเรื่องเศรษฐกิจสะอาดสีเขียว หนทางเดียวที่เราจะประสบความสำเร็จได้คือออสเตรเลียกับไทยต้องร่วมมือกัน” ซีอีโอออสเทรกล่าวทิ้งท้าย







