หมดยุค NGOs ขอเงินรัฐบาลต่างชาติหรือยัง? | ปรีชภักดิ์ ทีคาสุข

และแล้วครึ่งหนึ่งของขวบปีแห่งความโกลาหลก็ได้ผ่านล่วงไปโดยที่แสงสว่าง ณ ปลายอุโมงค์ยังไม่ปรากฏ โครงการส่วนใหญ่ของ United States Agency for International Development (USAID) ได้ถูกปล่อยให้ล้มลง
พร้อมๆ กับเหล่าข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริการ่วม 1,000 ชีวิตที่ถูกปลดออกตามแผนปฏิรูปกระทรวงของรัฐบาล Donald Trump 2.0 แม้ว่าบุคคลผู้มีบทบาทในการรังสรรค์นโยบายดังกล่าวอย่าง Elon Musk จะถูกเฉดออกจากวงศ์วานทำเนียบขาวแล้วก็ตาม
สะท้อนให้เห็นถึงความพ่ายแพ้ของกลุ่มเทคโนแครตสายเสรีนิยม ที่มีบทบาทออกแบบนโยบายต่างประเทศ (The Blob) ต่อสายธารความคิดอนุรักษ์นิยมและความร้อนแรงของกระแส Make America Great Again (MAGA)
MAGA เชื่อว่าสหรัฐอเมริกาควรยุติบทบาท ‘ตำรวจโลก’ ที่ทั้งสิ้นเปลืองงบประมาณ และรังแต่จะฉุดกระชากมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลก เข้าไปสู่วังวนความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นก็เท่านั้น
ครั้นจะตีตราให้ Donald Trump เป็นต้นตอของปัญหาทั้งปวงก็คงจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เนื่องจากหากมองกันให้รอบด้านจริง Trump ไม่ใช่ผู้ที่สร้างเงื่อนไขแห่งความยุ่งเหยิงนี้ขึ้นมาแต่อย่างใด
แต่เป็นเพียงผู้ที่ฉกฉวยโอกาสชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี ผ่านการคร่อมขี่กระแสความอัดอั้นของประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลกหลังไวรัส COVID-19 ระบาด
ขณะเดียวกับที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งใจเจียดเกือบ 1% หรือเฉลี่ย 60,000-70,000 ล้านดอลลาร์ จากงบประมาณรายปีของรัฐไปใช้สนับสนุนภารกิจช่วยเหลือเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนประเทศโลกที่ 3 ในฐานะกิ่งก้านหนึ่งของ Soft Power ทุก ๆ ปี
ประชาชนสหรัฐอเมริกายังขาดความเข้าใจถึงผลตอบแทนอย่างเป็นรูปธรรมที่ประเทศจะได้รับจากกรณีที่รัฐบาลตนเองทั้ง Republican และ Democrat ที่นำภาษีไปกระจายเข้าสู่ระบบนิเวศของงานด้านสิทธิมนุษยชน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา หรือแม้แต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประกอบกับห้วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ชื่อเสียงขององค์กรภาคประชาสังคม (NGOs/INGOs) ภายในสหรัฐอเมริกาไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าใดนัก จากที่บางส่วนถูกตั้งข้อครหาเกี่ยวกับการดำเนินกิจการอย่างไม่โปร่งใส
นอกจากนี้ ยังมีเสียงจากชุมชนนโยบายภายในเครือข่ายสถาบันคลังสมอง (Thinktanks) ที่ตั้งข้อกังขาต่อธรรมาภิบาลในการกระจายงบประมาณไปยังองค์กร (independent contractors) ที่อาจไม่ได้มีบทบาทช่วยเหลือประชาชนประเทศโลกที่ 3 อย่างจริงจัง ส่งผลในทางตรงถึงวิกฤติความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อภาคประชาสังคมในภาพรวม
บทบาทและอิทธิพลทางการเมืองของ NGOs/INGOs จึงถูกตั้งคำถามมาตลอดหลายปี โดยเฉพาะห้วงหลังปี 2015-2020 เป็นต้นมา
จนเกิดข้อถกเถียงทางนโยบายกันขึ้นภายในกลุ่ม The Blob ว่าการกระจายเงินทุนไปช่วยเหลือประเทศโลกที่ 3 ในมิติด้านสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงสิทธิมนุษยชน ความหลากหลายและเท่าเทียมทางเพศ (DEI) นั้นส่งเสริมยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาบนเวทีโลกอย่างไร
เช่นเดียวกับ A. Wess Mitchell หนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของ Council on Foreign Relations (CFR) ที่วิจารณ์ถึงความไม่สมเหตุสมผลของภารกิจนักการทูตสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน
ซึ่งถูกกำหนดให้เทน้ำหนักไปกับการเดินสายเผยแพร่แนวคิดความหลากหลายทางเพศ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน จนนักการทูตสมัยใหม่แทบไม่มีเวลาฝึกปรือทักษะภาคสนามในการเจรจาระหว่างประเทศกันแล้ว
ที่น่าห่วงกว่านั้น คือ กระแสโต้กลับการจัดสรรเงินทุนเข้าสู่แวดวง NGOs/INGOs แท้จริงแล้วไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภายในสหรัฐอเมริกา หากแต่ยังขยายขอบเขตไปยังประเทศร่ำรวยในกลุ่ม Organization for Economic Co-operation and Development (OECD)
ไม่ว่าจะเยอรมนีที่ประกาศลดงบประมาณในภาคดังกล่าวลงมากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2024 ส่วนอังกฤษเองก็แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะปรับสัดส่วนการส่งเงินช่วยเหลือประเทศโลกที่ 3 ลง 40% เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่ภารกิจทางการทหารแทน
เช่นเดียวกับเนเธอร์แลนด์ที่มีแผนจำกัดค่าใช้จ่ายสำหรับสนับสนุนภารกิจของ United Nations ลง ซึ่งขัดกับปณิธานที่ประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศร่ำรวย
ทั้งสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ และพรรคพวกในซีกโลกตะวันตก (Western Hemisphere)ได้เคยตกลงกันไว้เมื่อปี 1970 ภายใต้ UNGA Resolution 2626 (XXV) เอามาก ๆ
อนึ่ง UNGA Resolution 2626 (XXV) เป็นการขอความร่วมมือผู้นำรัฐบาลจากเครือข่ายประเทศพัฒนาแล้วให้ช่วยกันจัดสรรเงินทุนสัก 0.7% ออกมาจากรายได้ประชาชาติ (GNI) ของประเทศตนเองไว้ใช้จ่ายในภารกิจช่วยเหลือประเทศด้อย/กำลังพัฒนา (ODA) บ้าง
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบ 60 ปีจนถึงปัจจุบันกลับมีเพียง 5 ประเทศจากกลุ่ม OECD เริ่มด้วยเดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ ลักเซมเบิร์ก ตามด้วยเยอรมนีเท่านั้นที่ยังยินดีดำเนินการตามมติข้างต้น
กล่าวให้ชัด คือ มีเพียง 5 ประเทศที่เต็มใจช่วยสหรัฐอเมริกาแบกรับภาระทางการเงินในการดูแลกลุ่มประเทศโลกที่ 3
การที่ Donald Trump จะนำประเด็นดังกล่าวมาใช้แอบอ้างในการถอยห่างออกจากภาระนานัปการบนเวทีโลกนั้นมิอาจห้ามได้
ในทางตรงกันข้ามเลย สิ่งที่ควรปฏิบัติมากกว่าสร้างความเกลียดชังต่อตัว Donald Trump นั้นเห็นทีจะต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงกันก่อนว่าคงเป็นที่ป่วยการหากต้องนั่งรอความหวังให้โครงการและงบประมาณที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเคยมอบให้แก่ USAID จะถูกรื้อกลับขึ้นมาในอนาคตอันใกล้
หรือจนกว่าจะมีพรายกระซิบคนใหม่ที่มาย้อนศรมรดกทางความคิดของ Elon Musk ให้ Donald Trump ผละออกจากเวทีเจรจาการค้า-กำแพงภาษีกลับมาวางแผนจัดสรรเงินทุนช่วยเหลือประเทศโลกที่ 3 เป็นการชั่วคราว
เพราะอย่างที่ทราบกันดีในมิติของการคำนวนเชิงยุทธศาสตร์ (strategic calculation) ว่าสำหรับผู้นำแบบ Trump การได้รับขนานนามจากฐานเสียงของตนเองในฐานะ ‘ผู้ชนะในเกมเจรจาการค้า’ มีมูลค่าสูงกว่าการได้รับยกย่องในฐานะ ‘ผู้ปฏิวัติวงการ NGOs/INGOs’ เหลืออนันต์
และมีแนวโน้มสูงในกรณีที่ภายหลัง Trump กลับมารื้อแผนปฏิรูป USAID ตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง อาจพ่วงมาด้วยเงื่อนไขใหม่ที่ผู้รับทุนต้องใช้ทรัพยากรหรือบริการเสริมจากกลุ่มธุรกิจในเครือของสหรัฐอเมริกาในลักษณะเดียวกับโครงการธุรกิจศูนย์เหรียญที่จีนเคยทำกับประเทศเพื่อนบ้านหลายรายก็เป็นได้
แน่นอนที่การค้นหาแหล่งทุนศักยภาพสูงรายใหม่มาทดแทนเม็ดเงินก้อนที่เคยได้รับจาก USAID และองค์กรอื่น ๆ ที่มีบทบาทกระจายเงินทุนให้แก่ NGOs/INGOs ในประเทศโลกที่ 3 นั้นไม่ต่างจากการวิ่งวนในเขาวงกต
อุปสรรคสำคัญข้อหนึ่งที่ NGOs/INGOs เกือบทุกรายต้องประสบไม่ต่างกัน คือ วงการนี้ขับเคลื่อนด้วยระบบเส้นสายและเครือข่าย (cronyism) ไม่ต่างจากแวดวงของราชการ
ผู้โชคร้ายที่สุดมักเป็นนักกิจกรรม/นักเคลื่อนไหวที่ไม่ได้คำนึงถึงความสำคัญของวิทยาการที่เรียกว่า ‘มือประสานสิบทิศ’ (know-who) อันเป็นตัวแปรที่สามารถช่วยในการลดความเสียหาย/เพิ่มโอกาสความอยู่รอดให้แก่องค์กรได้
ในทางกลับกัน ความได้เปรียบจะไปตก ณ กลุ่มบุคคลหรือองค์กรภาคประชาสังคมที่พอจะมีบุญเก่าสามารถ ‘ต่อสายตรง’ ไปถึงผู้ใหญ่ใจดีไม่ว่าจะภายในหรือต่างประเทศให้ปรี่เข้ามาความช่วยเหลือในฐานะแผนการชั่วคราวอยู่บ้าง
ในงานรวมญาติ NGOs/INGOs แขนงหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้มีนักเคลื่อนไหวผู้มากประสบการณ์รายหนึ่งเคยเสนอแนะให้กลุ่ม NGOs/INGOs ไทยเอาตัวรอดจากวิกฤติขาดแคลนเงินทุน ด้วยการเปิดรับบริจาคหรือระดมทุน (fundraising)
แบบพวกนักกิจกรรมทางการเมืองพม่าที่มาก่อตั้งชุมชนพม่าโพ้นทะเลหารายได้พิเศษอยู่ในเชียงใหม่ ตาก และกรุงเทพ เพื่อนำไปให้รัฐบาลพลัดถิ่นของกลุ่มผู้สนับสนุน Aung San Suu Kyi (NUG) ใช้ทำสงครามกับ Min Aung Hlaing ซึ่งเป็นข้อคิดที่ฟังแล้วชวนขันพอสมควร
ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อนำมาพิจารณาร่วมกับสภาพบริบทในสังคมไทยที่จะมีผู้เต็มใจเรี่ยไรเงินส่วนตัวไปให้ NGOs/INGOs ที่ขึ้นชื่อเรื่องการเคลื่อนไหว “บ่อนทำลายประเทศ” ตามน้ำคำของสื่อฝ่ายอนุรักษ์นิยมไทยสักกี่มากน้อย
ถึงจะเพียงพอให้ NGOs/INGOs ที่มีบทบาทผลักดันแนวคิดสิทธิมนุษยชน เสรีภาพการแสดงความคิดเห็นและประชาธิปไตยรอดพ้นวิกฤตินี้ไปได้ครบทุกราย
ประเด็นที่ไม่ควรละเลยในที่นี้อยู่ที่ปัจจัยของปริมาณ ปัจจุบันมีชาวไทยโพ้นทะเลอยู่เพียง 1 ล้านกว่าคน ต่างจากพม่าโพ้นทะเลที่มีกว่า 4-5 ล้านคน หรือแม้แต่จีนโพ้นทะเลที่ส่งเงินกลับไปช่วยรัฐบาล Deng Xiaoping ในยุค 1970s-1980s ก็มีจำนวนร่วม 20 ล้านคนเข้าไปแล้ว
ดังนั้น ขีดความสามารถด้านการระดมทุนจากชุมชนไทยโพ้นทะเลจึงน้อยกว่าประเทศอื่นที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วอยู่มากล้น มิพักกล่าวถึงข้อจำกัดของวิธีข้างต้นที่ค่อนข้างต้องใช้เวลาสั่งสมกว่าที่เงินบริจาคจะมากเพียงพอในการให้ NGOs/INGOs นั้น ๆ ขับเคลื่อนต่อไปโดยไม่สะดุดได้
สำคัญที่สุด คือ ทุกฝ่ายต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าสังคมไทยค่อนข้างแตกต่างจากสหรัฐอเมริกาในมิติที่การระดมทุนเพื่อการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ (greater cause) วาระใดวาระหนึ่ง ไม่ใช่วัฒนธรรมหลักที่ประชาชนส่วนใหญ่ให้การยอมรับหรือยินดีทำความเข้าใจ
ผู้ที่เสนอแนวทางดังว่าคงไม่ทราบว่าการจัดงาน Gala Dinner เพื่อให้ผู้แทนจาก NGOs/INGOs สายสิทธิมนุษยชนไปเรียงคิวเปิดกล่องรับบริจาคจาก ‘มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ’ (Philanthropists) มันไม่ใช่วิถีปฏิบัติที่เกิดขึ้นในไทย
คงเป็นภาพที่แปลกตาชอบกล หากมีทนายความนักเคลื่อนไหวชื่อดังไปปรากฏตัวเพื่อระดมทุนสำหรับการแก้ไขกฎหมายสนับสนุนเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นภายในงาน Gala Dinner ของเจ้าสัวระดับแนวหน้าของเมืองไทย
ขนาดในสหรัฐอเมริกาปัจจุบัน นักธุรกิจและมหาเศรษฐีที่ต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาล Trump 2.0 ยังสงวนท่าทีในการแสดงบทบาทผู้ใจบุญเลย
ประเด็นที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามไปนั้นเป็นเรื่องสัดส่วนเงินบริจาคของเหล่ามหาเศรษฐีผู้ใจบุญภายในจักรวาลของแหล่งทุนและองค์กรผู้ให้ทุน (donors) มีอยู่เพียงประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่เงินสนับสนุนที่แต่ละรัฐบาลเทให้แก่ NGOs/INGOs ในแต่ละปีนั้นรวมกันไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขนี้คงพอช่วยให้กระจ่างขึ้นบ้างว่าควรเขียนโครงการไปขอเงินทุนจาก ‘ใคร’ จึงจะมีโอกาสได้รับการจัดสรรมากกว่า
ที่ร่ายเรียงมาเช่นนี้ มิใช่ว่าจะอับจนหนทางเสียทีเดียว เพราะ NGOs/INGOs หลายแห่งในละแวกประเทศ ASEAN เองก็มีเทคนิควิธีในการเอาชีวิตรอดแตกต่างกันออกไป
บางกลุ่มก็เลือกแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการมุ่งเปิดรับบริจาคผ่านช่องทางออนไลน์ คู่ขนานไปกับการขอความร่วมมือให้ทีมงานทั้งหมดรับเงินเดือนครึ่งเดียว (หรือไม่รับเลย) แล้วใช้เวลาว่างหลังเลิกงานหารายได้พิเศษจากการค้าขายเล็กน้อยเพื่อนำมาจุนเจือคุณภาพชีวิตไปในแต่ละวัน
หรือบางกลุ่มที่จัดอยู่ในระดับผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน ก็อาจรีบติดต่อไปยังแหล่งทุนระดับรองจากสหรัฐอเมริกาลงมา ไม่ว่าจะสวีเดน แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ หรือแม้แต่เนเธอร์แลนด์ ที่ล้วนแต่มีองค์กรลักษณะคล้าย USAID ทำหน้าที่จัดสรรเงินทุน ODA ให้แก่ประเทศโลกที่ 3 อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น
เคล็ดลับและข้อได้เปรียบสำคัญสำหรับผู้ที่อยู่รอดยังคงเป็นเรื่องของการ ‘รู้จักใคร/คนของใคร’ เช่นเดิม เนื่องจากแหล่งทุนเองก็มีเกณฑ์ที่คาดหวังและไม่ได้ใช้จิตกุศลมากขนาดที่จะยอมยื่นเงินทุนเรือน 50,000-100,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับ ‘ผู้เล่นรายใหม่’ อันไม่เป็นที่รู้จักในแวดวง NGOs/INGOs โดยง่ายเสียทีเดียว
ท้ายสุดสิ่งที่พึงตระหนักเหนืออื่นใด คือ ตราบเท่าที่เม็ดเงินสำหรับพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรประเทศโลกที่ 3 ไม่ได้กระจุกอยู่แต่เพียงกลุ่มประเทศ G7 และ OECD ทาง NGOs/INGOs เองก็ไม่ควรปิดกั้นโอกาสและทางรอดของตนเองให้จำกัดอยู่แต่ทางเลือกเดิมเสมอไป
เพราะในประชาคมโลกที่กว้างใหญ่นี้ยังมีกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดและอุตสาหกรรม NGOs/INGOs มากมาย
โดยเฉพาะประเทศกลุ่ม BRICs เช่น อินเดีย บราซิล รัสเซีย สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือแม้แต่จีนที่พยายามจัดสรรเงินสนับสนุนประเทศโลกที่ 3 ไว้ไม่ต่ำกว่าปีละ 5,000-6,000 ล้านดอลลาร์
เช่นเดียวกับรัสเซียที่เริ่มรุกคืบขยายอิทธิพลเข้ามาคานอำนาจกับสหรัฐอเมริกาและจีนภายในระเบียบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านช่องทางลาว พม่า เวียดนาม และอินโดนีเซีย
ประเด็นหลักอยู่ที่ว่าจะมีสักกี่รายกล้าติดต่อไปหาแหล่งทุนเหล่านี้ ด้วยว่ากังวลถึงเงื่อนไขแลกเปลี่ยนสำหรับการรับทุน อันนำมาซึ่งข้องดเว้นการแสดงจุดยืนบางประการที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ หรือขัดแย้งกับแหล่งทุนอยู่บ้าง
แต่ก็นับเป็นทางออกที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มที่ให้น้ำหนักกับความอยู่รอดขององค์กร โดยยอมแลกกับเงื่อนไขที่ยากจะปฏิบัติตามบางประการชั่วพักชั่วครู่จนกว่า USAID หรือองค์กรแหล่งทุนภายในสหรัฐอเมริกาจะหวนกลับมาในวันข้างหน้า
ข้อคิดที่สร้างความระคายใจแก่ผู้อ่าน (unpopular opinion) นี้ เป็นเพียงแง่มุมที่ต้องการสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้ม/ทางเลือกแต่ละฉากทัศน์เท่านั้น ส่วน NGOs/INGOs แต่ละแห่งจะเลือกเส้นทางของตนเองอย่างไรนั้นสุดแท้แต่
ทว่าข้อเท็จจริงสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้ในขณะนี้ คือ ตัวแสดงหลักที่ผูกขาดเงินทุนมหาศาลเพียงพอจะกระจายให้แก่ NGOs/INGOs ที่เคลื่อนไหวในประเทศโลกที่ 3 ยังเป็นอื่นมิได้นอกจาก ‘รัฐ’.







