พลังงานแพงเพราะ AI Data Center ใช้ไฟฟ้ามหาศาล ซ้ำเติมวิกฤติค่าครองชีพ

'ศูนย์ข้อมูล AI' ดันค่าไฟขายส่งพุ่ง 267% ใน 5 ปี สร้าง 'ผลกระทบแบบลูกโซ่' ราคาอาหารและที่อยู่อาศัยเพิ่ม อาจซ้ำเติม 'วิกฤติค่าครองชีพ' สหรัฐออกกฎหมายบังคับบิ้กเทครับผิดชอบภาระที่สร้างขึ้น
ศูนย์ข้อมูล AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกำลังกลายเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ “ค่าไฟฟ้า” พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจในสหรัฐอเมริกา และเริ่มส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อราคาอาหารและที่อยู่อาศัย จนซ้ำเติม “วิกฤติค่าครองชีพ” ที่ผู้บริโภคกำลังเผชิญอยู่
ค่าไฟพุ่งทะลุเพดาน
การเติบโตของ AI ต้องการพลังงานมหาศาลเพื่อขับเคลื่อน ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเซิร์ฟเวอร์สำหรับฝึกฝนและรันโมเดล AI ผลการวิเคราะห์ราคาไฟฟ้าขายส่งของ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กทำการวิเคราะห์ราคาค่าไฟฟ้าขายส่ง โดยอ้างอิงข้อมูลจากศูนย์ข้อมูล DC Byte รายงานว่า ราคาไฟฟ้าขายส่งในพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับศูนย์ข้อมูลที่มีกิจกรรมสำคัญ ๆ ได้ สูงขึ้นถึง 267% เมื่อเทียบกับห้าปีที่แล้ว
สิ่งที่น่าสนใจคือ การเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่ใน "Data Center Alley" รัฐเวอร์จิเนียเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อพื้นที่ใกล้เคียงอย่างเมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ที่อยู่ห่างออกไปกว่าหนึ่งชั่วโมง
เควิน สแตนลีย์ ชายวัย 57 ปีในบัลติมอร์ ต้องรับมือกับค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นประมาณ 80% ในช่วงสามปีที่ผ่านมา แม้เขาจะหาเลี้ยงชีพด้วยเงินช่วยเหลือผู้พิการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาชนทั่วไปต้องแบกรับภาระ
ในหลายภูมิภาคของสหรัฐอเมริกา ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “ศูนย์ข้อมูล” กำลังเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ “ต้นทุนพลังงานพุ่งสูงขึ้น”
รัฐเท็กซัสที่ศูนย์ข้อมูลกลายเป็นแหล่งใช้ไฟฟ้าใหม่ที่ใหญ่ที่สุด ส่วนในรัฐเวอร์จิเนีย บริษัท Dominion Energy Inc. ซึ่งให้บริการพื้นที่ "Data Center Alley" คาดการณ์ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดจะ เพิ่มขึ้นมากกว่า 75% ภายในปี 2039 ซึ่งสูงกว่าการเติบโตเพียง 10% ที่คาดการณ์ไว้หากไม่มีศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ ผลกระทบที่รุนแรงนี้ทำให้ต้นทุนพลังงานกลายเป็นประเด็นสำคัญในการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐในเวอร์จิเนียและนิวเจอร์ซีย์ในปีนี้
ศูนย์ข้อมูล AI กระทบ 'วิกฤติค่าครองชีพ'
ความต้องการพลังงานที่สูงลิบของศูนย์ข้อมูลกำลังสร้าง ผลกระทบแบบลูกโซ่ที่รุนแรง ทั้งค่าไฟฟ้าขายส่งสูงขึ้น จากความต้องการพลังงานที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ราคาไฟฟ้าขายส่งในระบบโครงข่ายสูงขึ้น
เรื่องนี้ทำให้ผู้บริโภคต้องแบกรับ เนื่องจากต้นทุนขายส่งที่เพิ่มขึ้นจะถูกส่งต่อไปยังครัวเรือนและธุรกิจในรูปของ ค่าสาธารณูปโภคที่สูงขึ้น แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้อยู่ใกล้ศูนย์ข้อมูลโดยตรงก็ได้รับผลกระทบ เพราะใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าเดียวกัน
สุดท้ายราคาสินค้าและบริการ เมื่อค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้ ราคาอาหาร ที่อยู่อาศัย และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ พุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย สร้างความตึงเครียดทางการเงินให้กับผู้บริโภค
นักวิเคราะห์ระบุว่า ปัจจุบันราคาไฟฟ้าขึ้นอยู่กับสถานที่ตั้งมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้ศูนย์ข้อมูลจะมีราคาพุ่งสูงกว่ามาก กว่า 70% ของจุดที่ราคาขายส่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ในระยะ 50 ไมล์จากกิจกรรมศูนย์ข้อมูลที่สำคัญ
AI คุกคามพลังงาน ปัญหาระดับชาติ
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่กำลังลงทุนอย่างมหาศาลใน AI และศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในการแข่งขันระดับโลก ทั้งอินวิเดีย(Nvidia), ไมโครซอร์ฟ(Microsoft), แต่ความต้องการพลังงานนี้กำลังสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของประเทศ
อดีตเจ้าหน้าที่ด้านพลังงานเตือนว่าการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในโครงข่ายที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากศูนย์ข้อมูล กำลังทำให้ต้นทุนพุ่งสูงขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ผลกระทบระดับโลก โดยปัญหาค่าพลังงานไม่ได้จำกัดอยู่แค่สหรัฐแต่กำลังขยายวงกว้างไปทั่วโลก
- ญี่ปุ่น
ราคาประมูลไฟฟ้า พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากรัฐบาลมีความคาดหวังสูงต่อการเติบโตของเทคโนโลยี AI
- มาเลเซีย
กำลังดำเนินการ ปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับศูนย์ข้อมูล โดยเฉพาะ เนื่องจากสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งใหม่ ๆ ทำให้เกิดความตึงตัวด้านอุปทานพลังงาน
- สหราชอาณาจักร
รายงานจาก Aurora Energy Research ชี้ว่า ความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากศูนย์ข้อมูล อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ ราคาไฟฟ้าสูงขึ้นถึง 9% ภายในปี 2040
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก BloombergNEF (BNEF) มีการคาดการณ์ว่าศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะใช้ไฟฟ้ามากกว่า 4% ภายในปี 2035 ซึ่งหากเปรียบเป็นประเทศจะอยู่ลำดับที่ 4 รองจากจีน สหรัฐ และอินเดีย สำหรับสหรัฐคาดว่าความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูลจะ เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในปี 2035 หรือเกือบ 9% ของความต้องการพลังงานทั้งหมดในปัจจุบัน
ความต้องการพลังงานที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคตจากศูนย์ข้อมูล อาจเป็นความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่เครื่องปรับอากาศเริ่มได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษ 1960
วิกฤติค่าไฟในรัฐวิสคอนซิน บทเรียนจาก Foxconn สู่ Microsoft
การถกเถียงเรื่องค่าพลังงานรุนแรงเป็นพิเศษในรัฐ “วิสคอนซิน” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ Microsoft กำลังพัฒนาศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่บนที่ดินเดิมที่เคยเป็นโครงการของ Foxconn
ทอม คอนเทนต์ กรรมการบริหารคณะกรรมการสาธารณูปโภคพลเมืองของรัฐชี้ว่า ชาวบ้านในพื้นที่ต้องจ่ายค่าสายไฟฟ้าที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับ Foxconn ไปแล้ว แม้ว่าโครงการเดิมจะถูกลดขนาดลงอย่างมาก
ปัจจุบันไซต์ของ Microsoft ต้องการกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงถึง 900 เมกะวัตต์ และกำลังมีการเสนอโครงการที่ใหญ่กว่านั้นอีกถึง 1.3 กิกะวัตต์ และอาจสูงถึง 3.5 กิกะวัตต์ ทำให้บริษัทสาธารณูปโภคอย่าง We Energies ต้องเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ 20% ภายในปี 2029
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ We Energies ได้เสนออัตราค่าไฟฟ้าใหม่ที่บังคับให้ลูกค้า "รายใหญ่" ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับพวกเขาโดยตรง แม้ว่าจะยกเลิกโครงการในภายหลังก็ตาม ซึ่งทาง Microsoft ยืนยันว่าได้ร่วมมือกับบริษัทสาธารณูปโภคในการกำหนดโครงสร้างอัตราภาษีที่เสนอนี้ โดยรับปากว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จัดสรรให้บริษัทอย่างแท้จริง
ปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้
หน่วยงานสาธารณูปโภคและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกำลังถกเถียงกันอย่างหนักว่าจะแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายนี้อย่างไร
เดวิด เครนประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Generate Capital และอดีตเจ้าหน้าที่ด้านพลังงานในรัฐบาลไบเดนกล่าว ความต้องการทั้งหมดเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไฟตกในตลาดพลังงานบางแห่งของสหรัฐ ภายในปีหรือสองปีข้างหน้า
“หากไม่มีการบรรเทาผลกระทบ ศูนย์ข้อมูลที่กำลังดูดซับภาระทั้งหมดจะทำให้ค่าใช้จ่ายต่างๆ แพงขึ้นมากสำหรับชาวอเมริกันที่เหลือ” เครนกล่าว
ส่วนประธานาธิบดี “โดนัล ทรัมป์” ได้สนับสนุนความได้เปรียบทางเทคโนโลยีของ AI ในสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ แต่ลดการสนับสนุนแหล่งพลังงานใหม่ เช่น ฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ด้วยการออกกฎหมายที่ชื่อว่า One Big Beautiful Bill Act
ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนชี้ว่า กฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้ ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของครัวเรือนสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดย BNEF คาดการณ์ถึงผลกระทบที่ชัดเจน โดยระบุว่าหากไม่มีร่างกฎหมายนี้ การติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานใหม่ต่อปีในปี 2035 จะลดลงถึง 23% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ขณะนี้ PJM Interconnection ผู้ให้บริการโครงข่ายไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ เผชิญแรงกดดันหนักที่สุด โดยต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ข้อมูลทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายเพิ่มกว่า 9.3 พันล้านดอลลาร์
รัฐบาลท้องถิ่นบางแห่งกำลังพิจารณาวิธีการแบ่งปันค่าสาธารณูปโภค และกำหนดผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบจากความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล
ในรัฐโอเรกอน สมาชิกสภานิติบัญญัติได้ผ่าน กฎหมาย POWER Act ในเดือนมิ.ย. กฎหมายนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้หน่วยงานสาธารณูปโภคสามารถทำข้อตกลงที่ เป็นธรรมมากขึ้น กับกลุ่มธุรกิจที่ใช้พลังงานสูงอย่าง ศูนย์ข้อมูล และ ผู้ขุดคริปโท โดย ส.ส. แพม มาร์ช ผู้เสนอกฎหมายกล่าวว่า บริษัท Amazon และ Google ได้ให้ความร่วมมือในการร่างกฎหมายนี้
ทั้งสองบริษัทต่างยืนยันว่าพวกเขาจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
- Amazon กล่าวว่าจะทำงานร่วมกับบริษัทสาธารณูปโภคเพื่อให้แน่ใจว่า หากมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานพิเศษ บริษัทจะครอบคลุมต้นทุนเหล่านั้นเอง และจะไม่ส่งต่อภาระไปให้ผู้ใช้บริการรายอื่น
- Google สนับสนุนการจ่ายค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมเพื่อปกป้องผู้ใช้บริการรายอื่น พร้อมระบุว่าแม้จะมีการขยายศูนย์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทก็ใช้พลังงานไฟฟ้าต่อหน่วยประมวลผล น้อยกว่าเมื่อ 5 ปีก่อนถึง 6 เท่า
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีได้นำมาซึ่งภาวะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” เพราะศูนย์ข้อมูล (Data Centers) ถือเป็นแกนกลางที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชีวิตดิจิทัลในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ ChatGPT ค้นหาข้อมูล, การเรียกใช้บริการ Uber, หรือการดูสิ่งบันเทิงใน Netflix
อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นนี้ต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่สูงลิ่ว นั่นคือการใช้ ไฟฟ้าและน้ำในปริมาณมหาศาล แม้แต่นักเคลื่อนไหวที่ออกมาต่อต้านการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลเหล่านี้อย่างแข็งขันก็ยังยอมรับว่าชีวิตดิจิทัลและความสะดวกสบายในแต่ละวันก็ยังต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้เช่นกัน







