พลิกความท้าทายให้เป็นโอกาส: เปลี่ยนผ่านไทยสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนด้วยกฎระเบียบอียู | World Wide View

ภูมิภาคยุโรปกำลังพยายามที่จะเปลี่ยนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน มองเป็นเรื่องของค่านิยมที่ผู้ใช้วัตถุดิบและสินค้าทุกขั้นตอนจะต้องคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีความรับผิดชอบ ไทยจึงควรมองยุโรปเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือในการผลักดันเรื่องนี้
หากจะกล่าวถึงเศรษฐกิจหมุนเวียนในไทย เรามักนึกถึงการบริหารจัดการขยะและการรีไซเคิลเป็นหลัก เห็นได้จากการที่ไทยกำลังจะมีกฎหมายว่าด้วยการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และขยะอื่นๆ แต่เมื่อมองไปยังในภูมิภาคยุโรป สหภาพยุโรปหรืออียู กำลังพยายามที่จะเปลี่ยนแนวคิดในเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง โดยมองเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นเรื่องของค่านิยมที่ผู้ใช้วัตถุดิบและสินค้าทุกขั้นตอนจะต้องคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีความรับผิดชอบ และต้องสามารถนำส่วนประกอบของสินค้ากลับมาใช้เป็นวัตถุดิบได้ไม่รู้จบ (closed-loop circular economy) ไม่มีสิ่งใดเป็นขยะ การออกกฎหมายของอียูเพื่อให้เป็นไปตามวงจรการใช้ทรัพยากรนี้ นอกจากจะใช้บังคับในยุโรปแล้ว อียูยังส่งออกมาตรฐานนี้ไปยังประเทศนอกกลุ่มด้วยโดยกำหนดให้สินค้านำเข้าต้องใช้กฎระเบียบมาตรฐานสินค้าเดียวกัน
เมื่อวันที่ 16-18 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา เครือข่ายผู้เชี่ยวชาญไทย-ยุโรป ภายใต้การนำของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ / คณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป ได้รวมตัวกันเพื่อผลักดันเรื่องนี้ในไทย ผ่านการจัดโครงการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนไทย-ยุโรป โดยได้นำเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญไปศึกษาดูงานโครงการเก่าแลกใหม่ของ HomePro ที่นำสินค้าที่ลูกค้าเลิกใช้แล้วมาแยกชิ้นส่วนและนำเข้ากระบวนการเพื่อแปรรูปเป็นวัตถุดิบทดแทนที่ได้จากการรีไซเคิลขยะหรือของเสีย (secondary raw materials) และใช้ผลิตสินค้าหมุนเวียน
นอกจากนี้ ยังได้จัดงานสัมมนาหัวข้อ “หนทางของประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อแบ่งปันองค์ความรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนของอียู” โดยหยิบเอากฎระเบียบว่าด้วย Ecodesign for Sustainable Products Regulation (ESPR) และ Packaging and Packaging Waste Regulation (PPWR) ที่เพิ่งประกาศใช้ในอียูมาเป็นตัวนำในการหารือเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของภาครัฐและเอกชนไทย งานที่ว่านี้มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 120 คนจากภาคส่วนต่างๆ และมีการหารือกันอย่างขันแข็ง ทำให้เห็นภาพใหญ่ของเศรษฐกิจหมุนเวียนในไทยและได้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินการต่อไปอย่างเป็นรูปธรรม
งานสัมมนาทำให้เห็นว่า “There is no turning back” สำหรับเศรษฐกิจหมุนเวียนในไทย โดยทุกฝ่ายต้องเดินหน้าต่อไป ทุกคนเห็นประโยชน์ร่วมกันว่า นอกจากเศรษฐกิจหมุนเวียนจะช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและเก็บรักษาทรัพยากรไว้ให้คนรุ่นต่อไปได้ใช้แล้ว ยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ และลดต้นทุนได้อีกด้วย เพราะตามแนวคิดของเศรษฐกิจหมุนเวียนแล้ว วัตถุดิบทดแทนที่ได้จากการรีไซเคิลที่ใช้ในการผลิตจะต้องถูกกว่าวัตถุดิบใหม่
ดร. Raul Carlsson นักวิจัยจากสถาบัน RISE ของสวีเดน ให้เราทำความเข้าใจเศรษฐกิจหมุนเวียนแบบง่าย ๆ โดยแบ่งออกเป็น 3 วงจรหลักจากใหญ่ไปเล็ก ได้แก่ (1) การแยกขยะรีไซเคิลนำกลับไปทำเป็นวัตถุดิบเพื่อใช้ใหม่ (2) การปรับปรุงใหม่ให้สินค้าใช้งานได้ (refurbishment) > การผลิตใหม่ให้สินค้ามีประสิทธิภาพดีขึ้น (remanufacturing) > และนำไปใช้ใหม่ และ (3) การบำรุงรักษา > การซ่อมแซม (repair) และนำกลับมาใช้ต่อ เช่น สินค้ามือสอง แต่ละวงจรมีผู้ประกอบการที่มีหน้าที่แตกต่างกันไป หลายขั้นตอนเป็นโอกาสในการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ได้เลยทีเดียว เช่น ที่เกิดขึ้นแล้วในไทย คือ การสร้าง Repair Café เพื่อเป็นพื้นที่ให้คนนำสิ่งของมาซ่อม และโมเดลของบริษัท ริโก้ (ประเทศไทย) จำกัด ที่นำเครื่องถ่ายเอกสารเก่ามาทำผลิตใหม่และนำกลับไปเป็นเครื่องให้เช่า เป็นต้น
การทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนเกิดขึ้นในไทยจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก งานสัมมนาฯ ได้พูดคุยเกี่ยวกับการสร้างระบบนิเวศให้เกิดความร่วมมือระหว่างกันด้วย เราเริ่มจากการทำความเข้าใจกฎระเบียบ ESPR และ PPWR ของอียู และมองว่าจะปรับตัวอย่างไร ผู้ประกอบการไทยเป็นผู้ผลิตกลางน้ำเสียส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ออกแบบเองและรับคำสั่งผลิตจากบริษัทแม่ แต่กลับได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะต้องทำตามข้อกำหนดของกฎระเบียบทั้งหมดด้วยตนเอง ไทยจึงต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นสามารถแข่งขันได้ ทั้งการเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบ ทักษะที่จำเป็น และสร้างระบบรองรับ เช่น การเก็บข้อมูลการผลิตตลอดห่วงโซ่มูลค่า มาตรฐานที่กฎหมายภายในกำหนดต้องสอดคล้องกับของอียูเพื่อลดต้นทุน ในภาพใหญ่กว่านั้น ต้องสร้างระบบการบริหารจัดการขยะให้มีประสิทธิภาพ ต้องเปลี่ยนภาพและเพิ่มศักยภาพคนเก็บของเก่าขายให้เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบจากการรีไซเคิลที่จะป้อนเข้าสู่วงจรการนำไปผลิตซ้ำของเศรษฐกิจหมุนเวียน และที่สำคัญที่สุด คือ การสร้างความตระหนักรู้ให้กับสาธารณชนเกี่ยวกับเรื่องนี้
สิ่งสำคัญประการหนึ่งของการที่ประเทศยุโรปในกลุ่มอียูทำเรื่องนี้มาก่อน คือ การเป็นแหล่งความรู้ know-how เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งประเทศยุโรปเหล่านี้พร้อมที่จะแบ่งปันให้กับประเทศที่มีแนวคิดด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมคล้ายกันอย่างไทย ไทยจึงควรมองยุโรปเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือในการผลักดันเรื่องนี้ นำความรู้ของยุโรปมาประยุกต์ใช้กับสังคมไทย เร่งสร้างเทคโนโลยีและ know-how ที่เหมาะสมกับไทย ขอทิ้งท้ายไว้ว่า ในขณะที่เราพยายามทำให้วงจรเศรษฐกิจหมุนเวียน (loop of circular economy) สมบูรณ์นั้น ในส่วน loop of discussion and cooperation ยังคงเปิดให้มีการแสวงหาความร่วมมือใหม่ๆ อยู่เสมอ เพราะเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน คือ ทุกฝ่ายต้องร่วมด้วยช่วยกัน







