นโยบายทรัมป์ กดดัน 'ดอลลาร์' เปลี่ยนสถานะสู่สินทรัพย์ 'รับความเสี่ยง'

นโยบาย 'ทรัมป์' กำลังกดดัน 'ดอลลาร์' อ่อนค่าหนัก ทำผลงานแย่สุดในรอบ 55 ปี สู่การเปลี่ยนสถานะจากสินทรัพย์ปลอดภัยเป็น 'สินทรัพย์รับความเสี่ยง'
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานะของ “เงินดอลลาร์” ในตลาดโลกกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ที่ผิดปกติ โดยดัชนีดอลลาร์ (DXY) ซึ่งเป็นมาตรวัดความแข็งแกร่งของดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินหลักของประเทศพัฒนาแล้วได้ลดลงถึง 10% จากจุดสูงสุดในเดือนม.ค.2568 และในช่วงครึ่งแรกทำผลงานแย่ที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปี 2513
โดยปกติแล้ว เมื่อเศรษฐกิจของสหรัฐแข็งแกร่ง และอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าประเทศอื่น ดอลลาร์ควรจะแข็งค่าขึ้น แต่สถานการณ์ปัจจุบันกลับสวนทางอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดคำถามว่า ดอลลาร์ได้เปลี่ยนสถานะจากสกุลเงิน “หลีกเลี่ยงความเสี่ยง” กลายเป็นสกุลเงินที่ “รับความเสี่ยง” ไปแล้วหรือไม่
งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าสถานะของดอลลาร์กำลังเปลี่ยนไป โดยรายงาน Is the Dollar Losing Its Edge? ของ ชาร์ลส คอลลินส์ และไมเคิล ไคลน์ พบว่าการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความไม่แน่นอนของนโยบายเพิ่มสูงขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่ผิดปกติอย่างมากเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ และนักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งพบว่า การเคลื่อนไหวร่วมกันของค่าเงินดอลลาร์กับความผันผวนของตลาดได้เปลี่ยนจากความสัมพันธ์เชิงบวกเป็นเชิงลบ
3 ปัจจัยกดดันเสาหลักค้ำจุนดอลลาร์
1. นโยบายทรัมป์
เหตุการณ์สำคัญคือ การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” เรียกว่า "วันปลดปล่อย" เมื่อวันที่ 2 เม.ย.68 นำมาสู่ความปั่นป่วนทางการเงินสร้างความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และความผันผวนด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค
ที่ผ่านมา “เงินดอลลาร์” ถูกจัดเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หรือ Safe Haven เนื่องจากมันสะท้อนถึงสภาพคล่อง และความมั่นคงของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในช่วงที่เกิดวิกฤติหรือความไม่แน่นอนทางการเงินทั่วโลก ซึ่งนักลงทุนมักจะรีบขายสินทรัพย์เสี่ยงแล้วเปลี่ยนมาถือเงินดอลลาร์ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
สิ่งที่น่าตกใจคือ ค่าเงินดอลลาร์กลับอ่อนค่าลงอย่างมาก ทั้งที่ดัชนี VIX หรือมาตรวัดความผันผวนพุ่งสูงขึ้น สะท้อนนักลงทุนทั่วโลกกำลังรู้สึกไม่มั่นใจในนโยบายของทรัมป์ และอาจมองว่าดอลลาร์ไม่ใช่ "สินทรัพย์ปลอดภัย" อีกต่อไป
มาตรการเหล่านี้ลดทอนความน่าเชื่อถือของสหรัฐในฐานะคู่ค้าทางการค้า และส่งผลกระทบทางลบต่อ “การลงทุน” และการบริโภคในห่วงโซ่อุปทานต่างๆ โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง และดัชนีการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจนถือเป็นตัวบ่งชี้สำคัญ
2.คุกคามเฟด คุกคามพันธมิตร
การที่ทรัมป์โจมตี และกดดันเฟดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เกิดความกังวลว่าความเป็นอิสระของเฟดอาจถูกบ่อนทำลาย ซึ่งทำให้ความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจ และการเงินของสหรัฐเปลี่ยนไป
นอกจากนี้ การใช้มาตรการภาษีต่อประเทศพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุด, การไม่ให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงระหว่างประเทศ, และจุดยืนที่คลุมเครือต่อประเด็นภูมิรัฐศาสตร์สำคัญ ได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่สหรัฐสร้างมาอย่างยาวนาน
3. วิกฤติหนี้
Moody's ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของสหรัฐจากระดับสูงสุด Aaa ลงเป็น (Aa1) ในเดือนพ.ค.68 ที่ผ่านมา การปรับลดอันดับเกิดจากความกังวลเรื่อง ภาระหนี้ที่มากเกินไป และความเสี่ยงด้านการขาดดุลงบประมาณ คำเตือนนี้บ่งชี้ว่า การขาดดุลในระดับสูง และต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นกำลังกัดกร่อนความแข็งแกร่งทาง “การคลัง” ของประเทศ
นอกจากนี้ ร่างกฎหมาย "One Big Beautiful Bill" มีแนวโน้มที่จะทำให้การขาดดุลงบประมาณรุนแรงขึ้น ทำให้งบประมาณของรัฐบาลกลางอยู่ในภาวะ ไม่ยั่งยืน และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ในระยะยาว
ณ เดือนส.ค.2568 หนี้สาธารณะของสหรัฐอยู่ที่ 37.2 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 3 ถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งจะยิ่งทำให้การขาดดุลเพิ่มขึ้น
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงแสดงความแข็งแกร่ง และกลับเข้าสู่วัฏจักร “ดอกเบี้ยขาขึ้น” ที่น่าดึงดูดแล้ว แต่ปัจจัยด้านความไม่แน่นอนทางการค้า และความเสี่ยงทางการคลังที่เกิดจากหนี้ และงบประมาณที่ขาดดุลอย่างต่อเนื่อง เป็นแรงกดดันสำคัญที่ฉุดให้ค่าเงิน “ดอลลาร์” อ่อนค่าลงอย่างหนัก และสร้างความกังวลให้กับตลาดโลก
ผลสำรวจจากรอยเตอร์ระบุว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่กว่า 70% หรือ 33 ใน 45 คนระบุว่าค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มที่จะ “อ่อนค่าลง” กว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงปลายปีนี้
บทบาท ‘ดอลลาร์' ยังทรงอิทธิพล
แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะมีข่าว และบทวิเคราะห์มากมายที่พาดหัวถึงกระแส "การลดการใช้เงินดอลลาร์" (De-dollarization) แต่ในความเป็นจริงแล้วดอลลาร์ยังคงเป็นสกุลเงินหลักที่ครองอำนาจในตลาดโลกอย่างเหนียวแน่น เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ซื้อขายกันในตลาดโลก เกือบทั้งหมดมีราคาเป็นสกุลเงินดอลลาร์ และดอลลาร์ยังคงเป็นสกุลเงินที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการชำระเงินสำหรับการค้าระหว่างประเทศทั่วโลก
ในขณะที่ดอลลาร์กำลังประสบกับวิกฤติความเชื่อมั่น นักลงทุนกำลังกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉพาะ “ทองคำ” ได้กลายเป็นทางเลือกของสินทรัพย์ปลอดภัย โดยราคาได้พุ่งขึ้นมากกว่า 47% ในปีนี้ และทำสถิติสูงสุดใหม่
ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) เปิดเผยว่า การซื้อขายในตลาดเงินตราต่างประเทศทั่วโลก ทำสถิติ "สูงสุดเป็นประวัติการณ์" เพิ่มขึ้นถึง 28% เป็น 9.6 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย.2025 เนื่องจากนโยบายทรัมป์
อย่างไรก็ดี รายงานระบุว่า "ดอลลาร์" ยังคงมีอิทธิพลเหนือตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั่วโลก และครองสัดส่วน 89.2% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมดเพิ่มขึ้นจาก 88.4% ในปี 2565 ในขณะที่สัดส่วนของ "เงินยูโร" ลดลงเหลือ 28.9% จาก 30.6% ขณะที่สัดส่วนของ "เงินเยนญี่ปุ่น" ทรงตัวที่ 16.8%
ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รายงานว่า ดอลลาร์ที่อ่อนค่าทำให้สัดส่วนเงิน “ดอลลาร์” ในทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางทั่วโลกลดลง 1.5% จากไตรมาสแรก แตะระดับ 56.3% ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 1995 หรือในรอบเกือบ 30 ปี
การอ่อนค่าของดอลลาร์ครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นเรื่องภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณที่อาจเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการเงินระหว่างประเทศอีกด้วย
อ้างอิง Reuter, Cepr.org, Equiti
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







