นิวยอร์กไทมส์ แฉ! จีนขนอาวุธให้กัมพูชาก่อนปะทะไทยเดือน ก.ค.

นิวยอร์กไทมส์ เสนอรายงานพิเศษอ้างข้อมูลเอกสารข่าวกรองฝ่ายไทยว่า เมื่อเดือนก.ค.จีนเรียกร้องกัมพูชา และไทยยุติสงครามชายแดน แต่ก่อนหน้านั้นไม่กี่สัปดาห์กลับส่งจรวด และกระสุนปืนใหญ่ไปให้กัมพูชา
KEY
POINTS
- นิวยอร์กไทมส์รายงานโดยอ้างเอกสารข่าวกรองของไทยว่า จีนได้ขนส่งอาวุธ เช่น จรวดและกระสุนปืนใหญ่ ให้แก่กัมพูชาในเดือนมิถุนายน ไม่กี่สัปดาห์ก่อนเกิดเหตุปะทะชายแดนกับไทยในเดือนกรกฎาคม
- อาวุธดังกล่าวถูกลำเลียงโดยเครื่องบินทหาร Y-20 ของจีนไปยังเมืองสีหนุวิลล์ ก่อนจะถูกเคลื่อนย้ายต่อไปยังพื้นที่ชายแดนพิพาทกับไทย
- ทางการกัมพูชาไม่ได้ปฏิเสธการขนส่งอาวุธ แต่ระบุว่าเกี่ยวข้องกับการซ้อมรบร่วม ขณะที่จีนปฏิเสธว่าไม่ได้จัดหาอาวุธให้กัมพูชาเพื่อใช้สู้รบกับไทย
- รายงานระบุว่าจรวดที่ผลิตในจีนถูกนำมาใช้โจมตีพื้นที่ 4 จังหวัดของไทย ซึ่งส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิต
นิวยอร์กไทมส์ เสนอรายงานพิเศษอ้างข้อมูลเอกสารข่าวกรองฝ่ายไทยว่า เมื่อเดือนก.ค.จีนเรียกร้องกัมพูชา และไทยยุติสงครามชายแดน แต่ก่อนหน้านั้นไม่กี่สัปดาห์กลับส่งจรวด และกระสุนปืนใหญ่ไปให้กัมพูชา
รายงานพิเศษจากนิวยอร์กไทมส์ เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 ก.ย.68 กล่าวว่า ในเดือนมิ.ย.เครื่องบินทหารจีนหลายลำมาจอดที่กัมพูชาเป็นเวลาสามวัน หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ความขัดแย้งชายแดนที่คุกรุ่นระหว่างกัมพูชากับไทยก็ปะทุเป็นสงคราม
ตามเอกสารข่าวกรองไทยที่นิวยอร์กไทมส์ได้อ่าน ระบุว่า เครื่องบินY-20s หรือที่ในจีนเรียกกันว่า เด็กหญิงอ้วน เพราะลำตัวกว้าง และบรรทุกหนักได้ บินมาเมืองสีหนุวิลล์ทางภาคใต้ของกัมพูชา หกเที่ยวขนจรวด กระสุนปืนใหญ่ และปืนครกมาให้ ซึ่งการขนส่งนี้ไม่เคยมีรายงานมาก่อน
อาวุธของจีนบรรจุมาในตู้คอนเทนเนอร์ 42 ตู้เก็บไว้ที่ฐานทัพเรือเรียม หลายวันต่อมากระสุนที่ผลิตในจีนถูกย้ายจากฐานทัพเรือดังกล่าวขึ้นไปภาคเหนือที่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร สู่พรมแดนกัมพูชา-ไทยที่มีข้อพิพาทกันอยู่
นิวยอร์กไทมส์ สอบถามเรื่องรายงานข่าวกรองไทยไปยังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชารายหนึ่ง เจ้าหน้าที่ไม่ปฏิเสธรายละเอียดพื้นฐานของการขนส่ง
ไทย และกัมพูชา ต่างกล่าวโทษกันว่าเป็นฝ่ายเริ่มสงคราม ซึ่งกินเวลานานห้าวันช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ก่อนที่ความขัดแย้งจะเริ่มต้นขึ้น การเคลื่อนย้ายอาวุธไปยังชายแดนถือเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการเสริมกำลังของกัมพูชา หลายเดือนมาแล้วที่กัมพูชาวางกำลังทหารตามแนวชายแดน ใกล้กับปราสาทโบราณที่ทั้งกัมพูชา และไทยอ้างสิทธิ กัมพูชาตัดถนนสายใหม่และสร้างฐานทัพ สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้สามารถมองเห็นได้จากภาพถ่ายดาวเทียม
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ด้วยการเตรียมการนี้ กัมพูชาเข้าสู่การเผชิญหน้ากับไทยด้วยท่าทียั่วยุมากกว่าที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างพึ่งพาอาวุธจากแหล่งเดียวกันอย่างมาก นั่นคือ จีน ซึ่งได้สร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ และเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกับทั้งสองประเทศ
ผู้ตรวจสอบอิสระสนับสนุนข้อสรุปการประเมินของฝ่ายข่าวกรองไทย โดยเฉพาะที่มาของอาวุธที่กัมพูชาใช้ กลุ่มสิทธิมนุษยชน Fortify Rights กล่าวว่า จรวดที่กัมพูชาใช้โจมตีสี่จังหวัดของไทยส่วนใหญ่มาจากจีน โดยในวันแรกทางการไทยเผยว่า กัมพูชาโจมตีปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล และบ้านเรือนประชาชน คร่าชีวิตพลเรือนอย่างน้อย 13 คน
“หลักฐานทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าผู้นำกัมพูชาตัดสินใจร่วมกันมานานหลายเดือนหลายปีก่อนที่จะเกิดการปะทะบริเวณชายแดนเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมตามแนวชายแดน” นาธาน รูเซอร์ นักวิเคราะห์จากสถาบันนโยบายเชิงกลยุทธ์ออสเตรเลีย กล่าว
นิวยอร์กไทมส์ ติดต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งในกองทัพบกได้ ยืนยันว่าเอกสารข่าวกรองนี้เป็นของจริง รวบรวมโดยเครือข่ายข่าวกรองทั่วทั้งกองทัพเจ้าหน้าที่อีกสองคนยืนยันว่า เอกสารเผยแพร่กันภายในกองทัพบก ทั้งสามคนไม่เปิดเผยตัวตนเนื่องจากเป็นเอกสารลับ
ในแถลงการณ์ของพลโทรัฐ ดารารธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ไม่ได้โต้แย้งรายละเอียดพื้นฐานของการขนส่งอาวุธจากจีนมายังกัมพูชา แต่ระบุว่ารายงานข่าวกรองของไทย “ทำให้เข้าใจผิด” เขากล่าวว่าการเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ที่อ้างถึงในเอกสาร “ตรงกันพอดี” กับการสิ้นสุดซ้อมรบประจำปีของกัมพูชากับกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน
นิวยอร์กไทมส์แย้งว่า การซ้อมรบจบไปตั้งหลายสัปดาห์ก่อนหน้านั้นเมื่อปลายเดือนพ.ค. พลโทดารารธ ไม่ตอบคำถามนี้ กระทรวงกลาโหมจีนไม่ได้ให้ความเห็นเช่นกัน
นิวยอร์กไทมส์รายงานต่อไปว่า การเตรียมการ และการส่งกำลังบำรุงของกัมพูชาอาจทำให้กัมพูชาสามารถยืดเวลาการรบออกไปได้ แต่ไทยสามารถแสดงอำนาจเหนือได้อย่างรวดเร็วด้วยคลังอาวุธที่ทันสมัยกว่ามาก กองกำลังไทยตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศโดยเครื่องบินขับไล่ F-16 ที่ทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายในกัมพูชา
กว่าจะหยุดยิงในอีกห้าวันต่อมา ประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 40 คน รวมถึงพลเรือนทั้งสองฝ่าย ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนอีกนับแสนคน
- จีนสร้างสมดุล
จีนแสดงบทบาทแข็งขันพยายามให้สองฝ่ายหยุดยิง แต่การขนส่งอาวุธสร้างความยุ่งยากให้กับความพยายามสร้างภาพของรัฐบาลปักกิ่งให้ตนเองเป็นคนกลางสร้างสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แม้งบประมาณทหารของกัมพูชาเทียบไม่ได้กับของไทย แต่ทั้งสองประเทศก็เพิ่มงบประมาณด้านนี้มากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีหลังแล้วหันไปซื้ออาวุธจากจีน ตอนนี้ไทยซื้ออาวุธจากจีนมากกกว่าสหรัฐผู้เป็นพันธมิตรเก่าแก่ตามสนธิสัญญาแล้ว
ทางการจีนนั้นได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาจากสื่อไทยที่ว่าจีนจัดหาอาวุธให้กัมพูชามาเล่นงานไทย ช่วงปลายเดือนก.ค.หนึ่งวันหลังการสู้รบปะทุขึ้น เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพจีนรายหนึ่งพบกับรักษาการทูตทหารไทยในกรุงปักกิ่งแจ้งว่าจีนไม่ได้จัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ใดๆ ให้กัมพูชามามาสู้รบกับไทยนับตั้งแต่เกิดความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ
รายงานข่าวกรองไทยพบว่าระหว่างวันที่ 21 ถึง 23 มิถุนายน จีนส่งกระสุน
เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ยุคสหภาพโซเวียตเกือบ 700 นัดรวมถึงระบบยิงจรวดหลายลำกล้องที่ผลิตในจีนทั้งType 90B และ PHL-03 นอกจากนี้ จีนยังส่งกระสุนปืนใหญ่สำหรับปืนครกอัตตาจร SH-1 ของจีน และกระสุนปืนใหญ่สำหรับปืนกลต่อสู้อากาศยานยุคสหภาพโซเวียตอีกด้วย
สองวันต่อมา กัมพูชาได้ขนย้ายกระสุนไปยังจังหวัดชายแดนสองแห่งคืออุดรมีชัย และพระวิหาร
เหล่านักวิเคราะห์ กล่าวว่า การระดมส่งอาวุธดังกล่าวน่าจะต้องได้รับอนุมัติจากผู้นำระดับสูงของจีนแล้ว
“การเร่งส่งกำลังบำรุงเช่นนี้ชัดเจนว่าไม่ใช่เรื่องปกติ” แอนโทนี เดวิส นักวิเคราะห์ของ Janes สิ่งพิมพ์ด้านกลาโหม และความมั่นคง ผู้ประจำการอยู่ในกรุงเทพฯ ให้ความเห็น
- พรมแดนข้อพิพาท
นิวยอร์กไทมส์ ระบุว่า เป็นเวลาสองร้อยปีแล้วที่ไทยกับกัมพูชาพิพาทกันเรื่องปราสาทบริเวณชายแดนที่เขียนขึ้นโดยฝรั่งเศสเมื่อช่วงต้นทศวรรษ 1900 สมัยฝรั่งเศสปกครองกัมพูชาในช่วงทศวรรษ 1960 ศาลระหว่างประเทศได้ตัดสินว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ไทยไม่เคยยอมรับคำตัดสินดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ดูเหมือนกัมพูชาพยายามเสริมกำลัง นายรูเซอร์ นักวิเคราะห์ชาวออสเตรเลีย กล่าวว่า กัมพูชาสร้างค่ายทหารใกล้กับปราสาทพระวิหารทางตะวันออก ถือเป็นชัยภูมิที่ดีกว่ากองทัพไทยในฝั่งตรงข้าม ค่ายใหม่นี้อาจใช้เป็นฐานปืนใหญ่
ไม่เพียงเท่านั้น ตั้งแต่ปลายปี 2022 กัมพูชาเริ่มตัดถนน และสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เพิ่ม ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่า เป็นการระดมพลังเสริมกำลังทหารตามแนวชายแดน
"ป้อมค่ายนี้เกิดขึ้นในหลายจุดตามแนวพรมแดน จึงตัดประเด็นผู้บัญชาการคนหนึ่งต้องการปรับตำแหน่งทางยุทธวิธีให้ดีขึ้นไปได้เลย นี่แสดงให้เห็นว่ากองทัพกัมพูชามีคำสั่งขยายกำลังพลออกไปมากกว่า” นายรูเซอร์ ผู้ศึกษาภาพถ่ายดาวเทียมในพื้นที่กล่าว
ด้าน พลโท ดารารธ กล่าวว่า ค่ายใหม่เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงมาตรฐานการป้องกันประเทศ กัมพูชา “ไม่ได้คิดเรื่องการโจมตี” กิจกรรมทางทหาร “ไม่ได้พุ่งเป้าโดยตรงไปยังเพื่อนบ้านหรือตัวแสดงภายนอกใดๆ”
ฮังยู ลีนักวิจัยจาก Armed Conflict Location & Event Data องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ติดตามความขัดแย้งทั่วโลก ระบุ
“ชัดเจนว่ากัมพูชากระตือรือร้นเสริมกำลังทหารกว่าไทยมาก"เมื่อเทียบกับกัมพูชา ไทยเป็นฝ่าย “ตอบโต้ และตั้งรับเป็นส่วนใหญ่” กองทัพบกไทยได้เสริมกำลังฐานทัพที่มีอยู่เดิม ตัดถนนส่งกำลังบำรุง วางกำลังปืนใหญ่และยานเกราะ และเพิ่มการเฝ้าระวังเพื่อให้ทันต่อความเคลื่อนไหวของกัมพูชา
กัมพูชาเรียกไทยว่าผู้รุกราน และกล่าวหาทหารไทยหลายครั้งว่ารุกล้ำดินแดนของตน นอกจากนี้ยังกล่าวโทษกองกำลังฝ่ายชาตินิยมของไทยว่าเป็นต้นเหตุของความตึงเครียดบริเวณชายแดน เพื่อแก้ไขความขัดแย้ง กัมพูชาได้พยายามขอความช่วยเหลือจากองค์กรอิสระ เช่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งไทยปฏิเสธ
- ข้อจำกัดและศักยภาพของกัมพูชา
กองทัพกัมพูชาอ่อนแอกว่าเพื่อนบ้านมาก และยืนยันมาตลอดว่าไม่ต้องการทำสงครามกับไทย แล้วทำไมกัมพูชาจึงเริ่มส่งทหาร และอาวุธไปยังพรมแดน
นักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่า ฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาโดยพฤตินัยต้องการเพิ่มความรู้สึกชาตินิยมในช่วงที่ประชาชนไม่พอใจต่อเศรษฐกิจมากขึ้น หรือเป็นเพราะอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร หมดอำนาจ ซึ่งแพทองธาร ลูกสาวทักษิณเป็นนายกฯ ของไทยในช่วงที่เกิดความขัดแย้ง
คนอื่นๆ มองว่า หลังจากจีนสนับสนุนมาหลายปี ฮุนเซนอาจมั่นใจแล้วว่า การปะทะกันรอบนี้กัมพูชาแข็งแกร่งกว่าเมื่อครั้งอดีต
ราห์มัน ยาค็อบ นักวิจัยด้านนโยบายกลาโหมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย กล่าวว่า ในปี 2011 ระหว่างการปะทะใหญ่ครั้งล่าสุดกับไทย กระสุนกัมพูชาหมดอย่างรวดเร็ว ความขาดแคลนนี้ผลักดันให้รัฐบาลพนมเปญต้องกระชับสัมพันธ์ทางทหารกับจีนมากขึ้น
จีนจึงกลายเป็นผู้สนับสนุนหลักทางทหารของกัมพูชามาตั้งแต่นั้น สองประเทศซ้อมรบประจำปีร่วมกันเป็นประจำตลอดเก้าปีที่ผ่านมา ยกเว้นช่วงโควิด-19 ระบาด ในปี 2018 จีนให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่กัมพูชากว่า 100 ล้านดอลลาร์ นักวิเคราะห์กล่าวต่อไปว่า ตอนนี้คลังแสงกัมพูชามีอาวุธจีนเป็นส่วนใหญ่
“พวกเขารู้สึกว่ามีอาวุธดีกว่าเมื่อปี 2011 มาก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมความขัดแย้งนี้ค่อนข้างรุนแรง เพราะมีอาวุธหนักให้ใช้ไม่ใช่แค่ปืนไรเฟิลหรืออาวุธเบา” ราห์มันอธิบาย
ภาพถ่ายสนามรบที่แชร์บนโซเชียลมีเดียเผยให้เห็นทหารกัมพูชากับจรวดSHE-40 122 มม.ผลิตในจีน ซึ่งใช้กับเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง
“ทุกสิ่งที่เราเห็นว่าใช้กับเครื่องยิงจรวดล้วนเป็นจรวดของจีน” ปีเตอร์ บูคเคิร์ต ผู้เชี่ยวชาญด้านความขัดแย้งจากFortify Rights ให้ความเห็น
“จีนควรดูว่ากองทัพกัมพูชาทำอะไรลงไปในความขัดแย้งครั้งนี้ แล้วควรกังวลเรื่องการใช้อาวุธแบบไม่เลือกหน้า การจัดหาอาวุธให้เอาไปใช้คร่าชีวิตพลเรือนในประเทศเอเชียอื่นๆ ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์จีนดีขึ้นเลย” บูคเคิร์ต ย้ำ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







