แรงงานศรีลังกา แทน แรงงานกัมพูชา? | กันต์ เอี่ยมอินทรา

การกระจายความเสี่ยงโดยการนำเข้าแรงงานศรีลังกา 10,000 คน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เช่นเดียวกันกับการเปิดใจเปิดรับแรงงานต่างชาติในประเทศอื่นๆ skdเราสามารถหาแรงงานมาทดแทนแรงงานกัมพูชาได้แล้ว ในอนาคตก็ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกหากเกิดการอพยพแรงงานครั้งใหญ่
การขาดแคลนแรงงาน คือหนึ่งในระเบิดเวลา หากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีวี่แววจะสิ้นสุด
ประเทศไทยของเราในปัจจุบันนั้นไม่เพียงจะกลายเป็นสังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์ แต่อัตราการเกิดยังน้อย ขณะเดียวกันแรงงานของเราก็มีการศึกษาขึ้นมากเรื่อยๆ และมีค่านิยมในการศึกษาที่โน้มเอียงห่างจากการเป็นแรงงานที่มีฝีมือ ทุกคนอยากเป็นเจ้าคนนายคน ไม่มีใครอยากทำงานใช้แรง และนี่คือระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจหากไร้การจัดการที่ดี
ขณะนี้ไทยเรามีสัดส่วนประชากรวัยเด็ก (0-14 ปี):15.14% วัยรุ่น/นักศึกษา (15-24 ปี): 12.24% วัยแรงงาน (25-54 ปี): 44.93% วัยเกษียณ (55-64 ปี):14.03% วัยสูงอายุ (65 ปีขึ้นไป): 14.26% โดยในระยะเวลาอีก 20 ปีจากนี้ เราจะมีประชากรวัยแรงงานน้อยกว่าวัยสูงอายุ ซึ่งไม่ค่อยดีนักหากเรายังเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง
เพราะไม่เพียงกลจักรในการหาเงินเข้าระบบเศรษฐกิจของประเทศจะลดลงไปตามจำนวนแรงงานที่ลดลง แต่กลจักรในการใช้เงินจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้สูงวัยที่มากขึ้น และประชากรสูงวัยทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีเงินเก็บหรือมีสวัสดิการรักษาพยาบาลที่ดี เช่นในประเทศพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น หรือในยุโรป ดังนั้นการเติมจำนวนแรงงานเข้าสู่ระบบจึงจะเกิดผลดีมากกว่าผลเสียแก่ประเทศในระยะยาว
ไทยเราเปิดรับแรงงานต่างชาติอย่างถูกกฎหมายเพียง 3 ชาติ นั่นคือ เมียนมา ลาวและกัมพูชา โดยมีจำนวนกว่า 3.8 ล้านคน แรงงานเหล่านี้ไม่ได้เข้ามาแย่งงานคนไทย แต่เข้ามาทำงานที่คนไทยไม่พึ่งประสงค์จะทำ จากการศึกษาพบว่าแรงงานต่างด้าวเหล่านี้มักทำงานในงานที่ใช้แรงมาก เช่น ก่อสร้าง กสิกรรม หรือในพวกงานเก็บขยะ แปรรูปสินค้าประมง
หากโฟกัสลงมาที่แรงงานกัมพูชา ประเทศเพื่อนบ้านที่เรากำลังมีประเด็นปัญหา จะพบว่าเราพึ่งพาแรงงานชาวกัมพูชาสูงถึง 512,184 คน แต่ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการบางแหล่งอ้างว่ามีแรงงานกัมพูชาในไทยจำนวนถึง 1 ล้านคน และการอพยพกลับบ้านของแรงงานกัมพูชาคือหนึ่งในสัญญาณเตือนให้ไทยจำต้องกระจายความเสี่ยงในการจ้างงาน
แหล่งแรงงานรอบบ้านเราไม่ได้ขาดแคลน ทั้งจากเมียนมาและลาว หรือแรงงานเวียดนามที่ปัจจุบันต่างทราบกันดีกว่ามีมากมายในถึงแม้จะไม่ถูกกฎหมาย หรือแม้กระทั่งนโยบายการนำเข้าแรงงานศรีลังกา 10,000 คนเข้าไทยจากรัฐบาลก่อน เช่นเดียวกันกับประเทศอย่างเนปาล ที่แรงงานไหลออกจากประเทศที่เศรษฐกิจการเมืองย่ำแย่ ผู้คนโดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาวรู้สึกสิ้นหวังจนจำต้องออกนอกประเทศสู่ชีวิตที่ดีกว่า
การกระจายความเสี่ยงโดยการนำเข้าแรงงานศรีลังกา 10,000 คน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เช่นเดียวกันกับการเปิดใจเปิดรับแรงงานต่างชาติในประเทศอื่นๆ อาทิ เวียดนาม ให้เข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมาย เสียภาษีอย่างถูกกฎหมาย ได้รับการดูแลอย่างถูกกฎหมาย มิใช่แรงงานเถื่อนที่จำต้องเสียส่วยเสียค่าคุ้มครองให้กับผู้มีอำนาจ
เมื่อเราสามารถหาแรงงานเรือนแสนมาทดแทนแรงงานกัมพูชาได้แล้ว ในอนาคตก็ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกหากเกิดการอพยพแรงงานครั้งใหญ่ อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ที่จะสั่นคลอนพังทลายลงระหว่างไทยและกัมพูชา ถึงแม้ว่าเราจะไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ก็ต้องพร้อมรับมือ







