‘เอเชีย’ ดูดเงินลงทุนทะลุ 1 แสนล้านดอลล์ แห่กระจายความเสี่ยงหนีสหรัฐ

‘เอเชีย’ ดูดเงินลงทุนทะลุ  1 แสนล้านดอลล์ แห่กระจายความเสี่ยงหนีสหรัฐ

โกลด์แมน แซคส์ชี้ว่า ’เอเชีย’ ไม่รวมจีน ดึงดูดเงินลงทุน ทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์ นักลงทุนแห่กระจายความเสี่ยงหนี ‘สหรัฐ’ พร้อมเตือน ทุนไหลเข้าจีนยังไม่มั่นคง

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ภูมิภาค “เอเชีย” ยกเว้นจีนสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ารวมกันกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์  ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกต่างกระจายความเสี่ยงและหันไปลงทุนนอกสหรัฐอเมริกามากขึ้น

เควิน สนีเดอร์ ประธานโกลด์แมน แซคส์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่นกล่าวในงานประชุมสุดยอดเอเชีย 2025 ของสถาบันมิลเคนที่สิงคโปร์ว่า มีกระแสเงินทุนไหลเข้าในภูมิภาคนี้เพิ่มมากขึ้น  พร้อมเน้นย้ำว่าสิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาในบริบทของกระแสการกระจายการลงทุนไม่ใช่กระแสการถอนการลงทุน

เตือนทุนไหลเข้า 'จีน' ยังไม่มั่นคง 

อุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจในเอเชีย ได้แก่ เทคโนโลยี สินค้าฟุ่มเฟือย และภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดูแลสุขภาพ ที่กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในตลาดเอกชน 

“ญี่ปุ่น” ถือเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากแนวโน้มนี้ ในขณะเดียวกันกองทุนต่างชาติกำลังพิจารณาตลาดจีนอีกครั้ง หลังจากที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยนักลงทุนในประเทศและกระแสเทคโนโลยีบูม

อย่างไรก็ตาม โกลด์แมน แซคส์เตือนว่าให้ระมัดระวังและอย่าตื่นเต้นกับกระแสนี้มากเกินไป กับกระแสเงินทุนที่เริ่มกลับเข้าสู่จีน มีเหตุผลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเภทของเงินลงทุนและ กรอบเวลาการลงทุน เนื่องจากเงินส่วนหนึ่งที่เริ่มกลับเข้าสู่ตลาดจีนนั้นคือ "เงินกองทุนป้องกันความเสี่ยง" ที่เคลื่อนไหวเร็ว แสวงหาผลตอบแทนจากโอกาสในระยะสั้น ทำให้ตลาดมีความผันผวนสูง ซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนที่ประมาณ 60-65% สะท้อนว่ายังไม่ได้ลงทุนอย่างเต็มกำลังแต่เริ่มเข้าสู่ตลาดเพื่อ "ทดลอง" หรือ "เดิมพัน" ในระยะสั้นเท่านั้น

'โลกาภิวัตน์แบบเดิม' สิ้นสุดลงแล้ว

ด้าน ดิลฮาน พิลเลย์ (Dilhan Pillay) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทมาเส็ก อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า “โลกาภิวัตน์ที่เราเคยรู้จักนั้นได้หายไปแล้ว” เนื่องจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ภาษีศุลกากร และข้อจำกัดด้านพลังงานได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการสร้างผลกำไรจากการลงทุนอย่างสิ้นเชิง

ซีอีโอเทมาเส็กอธิบายว่า ธุรกิจต่าง ๆ ต้องจัดโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ โดยเน้นที่ "ความยืดหยุ่น" มากกว่า "ประสิทธิภาพ " ซึ่งล้วนมีค่าใช้จ่าย และค่าใช้จ่ายนี้จะคงอยู่ตลอดไปตราบใดที่โลกยังมีความเสี่ยงจากการพึ่งพาแหล่งผลิตหลักเพียงแห่งเดียว

รวมทั้ง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็น “สิ่งที่แพร่หลายมากที่สุดในแวดวงการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ” ในปัจจุบัน