'โตโยต้า' ทวงคืนตลาดจีน ยอดขายโตครั้งแรกรอบ 4 ปี หลังออก EV ราคาประหยัด

‘โตโยต้า’ ทวงคืนตลาดจีน
ยอดขายโต 6% ครั้งแรกรอบ 4 ปี หลังปรับกลยุทธ์ ออก EV ราคาประหยัดคันละ 4.8 แสนบาท พร้อมออกแผนรุกพลังงานใหม่เต็มสูบ
“โตโยต้า มอเตอร์” Toyota motors ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นต้องกำลังพลิกเกมใน “ตลาดจีน” หลังจากที่ด้วยยอดขายที่พุ่งสูงขึ้นในเดือนส.ค. ส่งผลให้บริษัทมียอดขายรายปีในจีนเติบโตเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี หลังจากเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักนานหลายปี เพราะคู่แข่งท้องถิ่นเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี
ยอดขายพลิกฟื้นครั้งแรกในรอบ 4 ปี
ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ยอดขายของโตโยต้าในจีนเพิ่มขึ้น 6% โดย 2 กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้โตโยต้าสามารถพลิกฟื้นสถานการณ์คือ
- การผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV)
ที่ผ่านมา แบรนด์ญี่ปุ่นปรับตัวเข้าสู่ความต้องการรถ EV ที่เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างเชื่องช้า ทำให้ผู้ผลิตจีนอย่าง BYD เข้ามาครองตลาด ทำให้โตโยต้าต้องทบทวนกลยุทธ์ และนำไปสู่การเปิดตัว bZ3X รถยนต์เอสยูวีไฟฟ้า 100% รุ่นที่ 3 ของโตโยต้า ในราคาประมาณ 15,000 ดอลลาร์ หรือราว 4.8 แสนบาท ซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
หยู ชุนไห่ ผู้ประกอบการด้านไอทีจากเซี่ยงไฮ้ คือหนึ่งในลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อ bZ3X แม้ว่าตอนแรกเขาจะสนใจ BYD Song L หรือ Tesla Inc. Model Y แต่ในที่สุดเขาก็เลือก bZ3X ที่มีราคาย่อมเยาและมีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงที่สามารถแข่งขันกับ BYD ได้ ซึ่งเป็นการกลับมาใช้รถยนต์โตโยต้าอีกครั้งหลังจากเคยใช้รุ่นโคโรลลามานาน 13 ปี
- กลุ่มผลิตภัณฑ์ไฮบริด
การรักษาและขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฮบริด ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการรถยนต์ทางเลือกนอกเหนือจากรถยนต์ไฟฟ้า
จูลี บูท นักวิเคราะห์จาก Pelham Smithers Associates Ltd. กล่าวว่า "ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์จีนมีการแข่งขันที่ดุเดือดมากสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติ แต่การที่โตโยต้าพยายามเลียนแบบความสำเร็จของผู้ผลิตจีนด้วยการสร้างรถ EV ราคาถูกที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี ดูเหมือนว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จแล้ว"
ขยายไลน์อัพและลงทุนโรงงาน EV เต็มสูบ
นอกเหนือจาก bZ3X แล้ว โตโยต้ายังได้เปิดตัวรุ่น bZ5 ไฟฟ้าทรงคูเป้รุ่นใหม่ และมีแผนจะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ในจีนอย่างต่อเนื่อง และ Lexus รุ่นปรับปรุงที่มีตัวเลือกทั้ง EV และไฮบริด
โตโยต้ายังได้แสดงความมุ่งมั่นในการแข่งขันอย่างชัดเจนด้วยโรงงานที่เป็นของโตโยต้าทั้งหมดในจีน เพื่อผลิตรถยนต์ EV แบตเตอรี่สำหรับแบรนด์ Lexus ซึ่งจะเริ่มผลิตในปี 2570 โดยมีกำลังการผลิตเริ่มต้น 100,000 คันต่อปี นั่นจะทำให้โตโยต้าเป็นผู้ผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลต่างชาติรายที่ 2 ต่อจากเทสลาที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในจีน
ขายราคาประหยัด เหลือ ‘กำไร’ น้อยนิด
แม้ยอดขายจะเพิ่มขึ้น แต่โตโยต้ายังคงเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น กำไรเฉลี่ยต่อคันที่ลดลงเหลือประมาณ 35,300 บาท ในปีงบประมาณ 2567 จากประมาณ 92,000 บาท ในปีงบประมาณ 2564 รวมทั้งกำไรรวมในจีนที่ลดลง เหลือประมาณ 63,450 ล้านบาท จากประมาณ 114,860 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเล็กน้อยที่ลูกค้าบางรายรายงานเกี่ยวกับรถยนต์ EV รุ่นใหม่ เช่น bZ3X ที่มีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ หลายสิบจุด และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของรสนิยมผู้บริโภคชาวจีนที่อาจหันจากไฮบริดกลับไปสู่ EV บริสุทธิ์อีกครั้งเนื่องจากเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโตโยต้าในปีนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคู่แข่งจากญี่ปุ่น อย่างนิสสัน มอเตอร์ที่ลดลง 9% และฮอนด้า มอเตอร์ลดลงมากถึง 21%
อ้างอิง Bloomberg







