ต่างชาติแห่ซื้อ 'หุ้นสหรัฐ' สูงสุดทุบสถิติใหม่ แม้ในยุคอเมริกาไม่เฟรนด์ลี่

ต่างชาติแห่ซื้อ 'หุ้นสหรัฐ' สูงสุดทุบสถิติใหม่ แม้ในยุคอเมริกาไม่เฟรนด์ลี่

นักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุน 'ตลาดหุ้นสหรัฐ' สูงสุดทุบสถิติใหม่ในช่วงไตรมาส 2 แม้จะเมินซื้อสินค้า ท่องเที่ยว และอิทธิพลอื่นๆ ของอเมริกาก็ตาม ข้อมูลชี้ผลประกอบการโดยเฉพาะภาค AI โดดเด่นเกินห้ามใจ

ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศ สงครามการค้า เปรยว่าจะผนวกประเทศแคนาดา และสร้างคลื่นกระแสความปั่นป่วนไปทั่วโลกตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรก เรื่องนี้ทำให้เกิดความกังวลว่าทั่วโลกจะสู้กลับด้วยการคว่ำบาตรสินทรัพย์และผลิตภัณฑ์ทางการเงินของสหรัฐ เช่น ดอลลาร์ หลังจากที่ต่อต้านผ่านการซื้อสินค้า การท่องเที่ยว และอื่นๆ ไปแล้ว

แต่สำหรับ "ตลาดหุ้นสหรัฐ" กลับออกมาตรงกันข้าม การซื้อขายจากนักลงทุนต่างชาติ "พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์" ในไตรมาส 2 ความต้องการหุ้นสหรัฐพุ่งสูงจนคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 32% ของการจัดสรรสินทรัพย์สหรัฐในพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติ ทำลายสถิติที่เคยทำมาตั้งแต่ปี 1968 ตามข้อมูลของคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ตลาดหุ้นอเมริกา น่าดึงดูดเกินกว่าที่จะถอนตัว ส่วนหนึ่งมาจากผลงานที่โดดเด่นของบริษัทต่างๆ ที่ไล่ล่าความมั่งคั่งจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของ Nvidia, Microsoft และ Alphabet รวมถึงบริษัทอื่นๆ พุ่งสูงขึ้น และในขณะที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้น พวกเขาก็กดค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างแรงด้วย ซึ่งอาจเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนในสหรัฐ

ข้อมูลจากเฟดระบุว่า นักลงทุนต่างชาติ ได้ทุ่มเงิน 2.907 แสนล้านดอลลาร์ (กว่า 9 ล้านล้านบาท) เข้าลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐ ในช่วงไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. ขณะที่ผู้บริหารของธนาคารแบงก์ออฟอเมริกาอ้างข้อมูลอีกชุดจากบริษัท Treasury International Capital (TIC) แสดงให้เห็นว่า ณ สิ้นเดือนก.ค. การถือครองหุ้นสหรัฐของต่างชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้

นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นสหรัฐประมาณ 18 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 30% ของมูลค่าตลาดเกือบ 60 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมาตามข้อมูลที่อ้างอิงจากเฟด โดยมูลค่าสินทรัพย์ที่นักลงทุนต่างชาติถือครองในรูปดอลลาร์นั้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับราคาสินทรัพย์ แม้ว่าสัดส่วนของสินทรัพย์ทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นด้วยก็ตาม

"นักลงทุนต่างชาติยังคงเข้าซื้อหุ้นสหรัฐในอัตราที่แข็งแกร่งมาก” เอลิอัส กาลู ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนทั่วโลกของแบงก์ออฟอเมริกา กล่าว

อย่างไรก็ดี แม้ว่าผลตอบแทนในปีนี้จะแข็งแกร่งในระดับดัชนี แต่การซื้อหุ้นเหล่านี้กลับไม่ทำกำไรมากนักหากเทียบกับการไปลงทุนในดัชนีของตลาดหุ้นหลักอื่นๆ เพราะดัชนี S&P 500 มีผลงานต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานเมื่อเทียบกับหุ้นในแคนาดา เม็กซิโก บราซิล ญี่ปุ่น และจีน ทั้งในรูปแบบสกุลเงินท้องถิ่นและในรูปดอลลาร์สหรัฐ

ดัชนี MSCI World ปรับตัวสูงขึ้น 15% ในปีนี้ และกำลังมีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้ดีกว่า ดัชนี S&P 500 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 ส่วนดัชนี MSCI All-Country World ที่ไม่รวมหุ้นสหรัฐนั้นมีผลงานที่โดดเด่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ 13%

สำหรับแซม สโตวอลล์ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของ CFRA การซื้อหุ้นจากต่างชาติครั้งนี้ถือเป็น "เรื่องน่าประหลาดใจ” แม้จะไม่ใช่เพราะเหตุผลด้านการเมืองก็ตาม

“ทำไมพวกเขาถึงมาที่นี่ ในเมื่อตลาดของพวกเขาเองกำลังทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์” สโตวอลล์กล่าวและเสริมว่าค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงจะเป็นอุปสรรคต่อผลตอบแทนเช่นกัน

สโตวอลล์คาดว่านักลงทุนต่างชาติกำลังเลือกลงทุนใน AI อย่างเฉพาะเจาะจง และมุ่งเน้นไปที่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ซึ่งมีน้ำหนักการลงทุนที่โดดเด่นในตลาดหุ้นสหรัฐ และตั้งข้อสังเกตว่าหุ้นในภาคเทคโนโลยี “ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ถึง 26 ครั้งในปีนี้”

หุ้นสหรัฐยังปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่แตะจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 8 เมษายน และล่าสุดกำลังได้แรงหนุนจากการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบปีของเฟด

 

ที่มา: Bloomberg