หนี้โลกแตะ 1 หมื่นล้านล้านบาท ครึ่งปีแรกพุ่ง 600 ล้านล้านบาท

หนี้ทั่วโลกทะยานทำสถิติใหม่กว่า 10,000 ล้านล้านบาท ภายในครึ่งปีแรก จากการผ่อนคลายนโยบายการเงินและค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า สถาบันการเงินระหว่างประเทศเตือนความเสี่ยงการคลังรอบใหม่จากงบทางทหาร และการพึ่งพากู้ยืมระยะสั้น
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า “หนี้ทั่วโลก” กำลังพุ่งทำสถิติสูงสุดที่ 337.7 ล้านล้านดอลลาร์หรือ ราว “10,000 ล้านล้านบาท” ณ สิ้นไตรมาสสอง สาเหตุหลักมาจากสภาวะการเงินโลกที่ผ่อนคลายลง ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และท่าทีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจากธนาคารกลางรายใหญ่ ตามรายงานรายไตรมาสที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี
สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (Institute of International Finance: IIF) ซึ่งเป็นสมาคมการค้าด้านบริการทางการเงินระบุว่า หนี้ทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 21 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 675 ล้านล้านบาท) ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ส่งผลให้ยอดรวมแตะ 337.7 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 10,000 ล้านล้านบาท)
จีน ฝรั่งเศส สหรัฐ เยอรมนี อังกฤษ และญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีการเพิ่มขึ้นของระดับหนี้ในรูปเงินดอลลาร์มากที่สุด แม้บางส่วนจะเป็นผลจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ตามข้อมูลจากสถาบัน IIF โดยนับตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 9.75% เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินของคู่ค้ารายใหญ่
IIF ระบุในรายงาน Global Debt Monitor ว่า ขนาดของการเพิ่มขึ้นครั้งนี้ใกล้เคียงกับการพุ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 ซึ่งในขณะนั้น มาตรการควบคุมการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้กระตุ้นให้เกิดการสะสมหนี้ทั่วโลกในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เมื่อพิจารณา “อัตราส่วนหนี้ต่อจีดีพี” ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการชำระหนี้โดยเปรียบเทียบกับมูลค่าการผลิต พบว่า แคนาดา จีน ซาอุดีอาระเบีย และโปแลนด์ มีการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนนี้สูงที่สุด ในขณะที่ไอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และนอร์เวย์ มีอัตราส่วนลดลง ตามรายงานดังกล่าว
โดยรวมแล้ว อัตราส่วนหนี้ต่อผลผลิตทั่วโลก ยังคงปรับลดลงอย่างช้า ๆ อยู่เพียงเล็กน้อยเหนือ 324% อย่างไรก็ตาม ในตลาดเกิดใหม่ อัตราส่วนนี้กลับพุ่งขึ้นแตะ 242.4% ซึ่งเป็นสถิติใหม่ ซึ่งยอดหนี้รวมในตลาดเกิดใหม่ เพิ่มขึ้น 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 100 ล้านล้านบาท) ในไตรมาสสอง สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 109 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 3,500 ล้านล้านบาท)
เอมเร ทิฟติก ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านความยั่งยืนของ IIF กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายทางทหารที่เพิ่มขึ้น จะสร้างแรงกดดันต่อดุลการคลังของรัฐบาล ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น
ทิฟติกระบุว่า การเพิ่มขึ้นของหนี้ส่วนใหญ่มาจาก “หนี้ภาครัฐ” ซึ่งปรับตัวสูงอย่างมากในกลุ่มประเทศ G7 และจีน
เขาเสริมว่า ตลาดพันธบัตรตอบสนองรุนแรงกว่าในประเทศพัฒนาแล้ว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของ G7 อยู่ใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011
นอกจากนี้ IIF ยังระบุว่า ตลาดเกิดใหม่ต้องเผชิญการไถ่ถอนพันธบัตรและเงินกู้สูงสุดเป็นประวัติการณ์เกือบ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2025
รายงานเตือนว่า ความตึงเครียดทางการคลังอาจรุนแรงขึ้นในประเทศอย่างญี่ปุ่น เยอรมนี และฝรั่งเศส พร้อมทั้งแนะนำให้ระมัดระวังต่อสิ่งที่เรียกว่า “การเทขายพันธบัตรของประเทศ” หากพวกเขามองว่าฐานะการคลังไม่มั่นคง
รายงานยังชี้ถึงความกังวลเกี่ยวกับหนี้ของสหรัฐ โดยระบุว่า การกู้ยืมระยะสั้นคิดเป็นราว 20% ของหนี้รวม และคิดเป็น 80% ของการออกพันธบัตรกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ การพึ่งพาการกู้ยืมระยะสั้นในสัดส่วนสูง อาจเพิ่มแรงกดดันทางการเมืองต่อธนาคารกลางให้คงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ ซึ่งเสี่ยงที่จะกระทบต่อความเป็นอิสระของนโยบายการเงิน
อ้างอิง: reuters







