สหรัฐลุยต่อภาษีรายเซกเตอร์ สอบมาตรา 232 'อุปกรณ์การแพทย์-โรบอท'

สหรัฐลุยต่อภาษีรายเซกเตอร์ สอบมาตรา 232 'อุปกรณ์การแพทย์-โรบอท'

สหรัฐเริ่มเปิดสอบมาตรา 232 กับสินค้ากลุ่ม 'อุปกรณ์การแพทย์-โรบอท- เครื่องจักรอุตสาหกรรม' จ่อขึ้นภาษีนำเข้ารายการต่อไป

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐแถลงว่า ได้เริ่มเปิดการสืบสวนสอบสวนสินค้านำเข้าในกลุ่ม "อุปกรณ์การแพทย์, โรบอท และเครื่องจักรอุตสาหกรรม" ภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act เพื่อพิจารณาว่าสินค้านำเข้าเหล่านี้เป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติหรือไม่ ซึ่งจะเปิดทางไปสู่การขึ้นภาษีนำเข้าต่อไป 

การสอบสวนดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมา และขยายไปถึงข้าวของเครื่องใช้ส่วนบุคคลหลายอย่างที่อาจถูกขึ้นภาษีและทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น เช่น หน้ากากอนามัย, หน้ากาก N95, ถุงมือยาง และวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์อื่นๆ นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงอุปกรณ์การแพทย์หลายอย่าง เช่น รถเข็น เตียง และอุปกรณ์วินิจฉัยและรักษา เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ เครื่องปั๊มอินซูลิน และลิ้นหัวใจ

กระทรวงพาณิชย์กำลังอยู่ระหว่างการขอความเห็นจากบริษัทต่างๆ เกี่ยวกับความต้องการนำเข้าสินค้าเหล่านี้ ความเป็นไปได้ที่การผลิตภายในประเทศจะสามารถรองรับได้เพียงพอหรือไม่ รวมถึงบทบาทของห่วงโซ่อุปทานต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังครอบคลุมถึงเรื่องผลกระทบของเงินอุดหนุนจากต่างประเทศ และสิ่งที่รัฐบาลเรียกว่าเป็น "การค้าแบบเอารัดเอาเปรียบ"

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ใช้มาตรา 232 เพื่อเรียกเก็บภาษีรายเซ็กเตอร์ไปหลายรายการแล้ว อาทิ รถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์, ทองแดง, เหล็ก และอลูมิเนียม ซึ่งเป็นคนละรายการกับภาษีศุลกากรตอบโต้ที่เรียกเก็บรายประเทศ

ปัจจุบันยังมีสินค้านำเข้าที่อยู่ระหว่างการสอบสวนอีกหลายรายการ เช่น ยา เซมิคอนดักเตอร์ และส่วนประกอบชิป เช่น แผ่นเวเฟอร์ซิลิคอน อุปกรณ์ผลิตชิป และผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของสหรัฐเกี่ยวกับการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานต่างประเทศ

ธุรกิจ/ประเทศไหน จะถูกกระทบหนักสุด

ปัจจุบัน สหรัฐพึ่งพาเครื่องจักรจาก "เม็กซิโก" และ "จีน" อย่างมาก โดยการนำเข้าจากทั้งสองประเทศคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 18% และ 17% ของยอดซื้อเครื่องจักรทั้งหมดของสหรัฐในปี 2566 จากข้อมูลจากคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ

ด้าน "อุตสาหกรรมยานยนต์" อาจเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากแนวโน้มการขึ้นภาษีรายเซ็กเตอร์ล่าสุดนี้ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีความต้องการ "หุ่นยนต์อุตสาหกรรม" มากที่สุด โดยมีการติดตั้งไปถึง 13,747 ตัวในปีที่แล้ว ตามข้อมูลของสหพันธ์หุ่นยนต์ระหว่างประเทศ (IFR) หุ่นยนต์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ามา โดยมีผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายที่ผลิตในสหรัฐ

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความเป็นไปได้ที่อาจขึ้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ป้องกันอาจเพิ่มต้นทุนสำหรับโรงพยาบาลและผู้ป่วย ส่งผลให้การเข้าถึงอุปกรณ์และการดูแลที่สำคัญลดลง

“บรรดาบริษัทชั้นนำในห่วงโซ่อุปทาน MedTech กำลังแสดงความกังวลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเราไม่สามารถเพิ่มต้นทุนการดูแลสุขภาพสำหรับผู้ป่วยหรือระบบการดูแลสุขภาพได้” สก็อตต์ วิตเทเกอร์ ซีอีโอของ AdvaMed กลุ่มการค้าที่เป็นตัวแทนของผู้ผลิตเทคโนโลยีทางการแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ กล่าว และเสริมว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะตกอยู่กับโครงการด้านสุขภาพที่ได้รับเงินสนับสนุนจากภาษีของประชาชน เช่น Medicare, Medicaid และองค์กรบริหารสุขภาพทหารผ่านศึก