ภาษีสหรัฐกระทบ ‘กัมพูชา-เวียดนาม-ไทย’ เจ็บหนักสุดใน ‘อาเซียน’

ภาษีสหรัฐกระทบ  ‘กัมพูชา-เวียดนาม-ไทย’  เจ็บหนักสุดใน ‘อาเซียน’

UNDP เผยภาษีสหรัฐกระทบการส่งออกอาเซียนวูบ 9.7% ‘กัมพูชา-เวียดนาม-ไทย’  เจ็บหนักสุด ชี้ 2 กลยุทธ์อาเซียนเดินเกมยุค ‘สงครามการค้า’

รายงานของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกลุ่มประเทศใน “อาเซียน” และคาดว่าการส่งออกรวมไปยังสหรัฐจะลดลงถึง 9.7% โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่เศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักอย่าง กัมพูชา เวียดนาม และไทย 

ภาษีสหรัฐกระทบ  ‘กัมพูชา-เวียดนาม-ไทย’  เจ็บหนักสุดใน ‘อาเซียน’

‘กัมพูชา’  เสี่ยงสุด

กัมพูชา ถือเป็นประเทศที่เปราะบางที่สุดในกลุ่มนี้ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐจะลดลงมากถึง 23.9% สาเหตุหลักมาจากการที่กัมพูชาพึ่งพาตลาดสหรัฐสูงถึง 58% ของการส่งออกทั้งหมด และต้องเผชิญกับอัตราภาษีเฉลี่ยเกือบ 19%

นอกจากนี้ กัมพูชายังอยู่ในกลุ่มที่อาจถูกตรวจสอบเรื่องการเป็นช่องทางส่งผ่านสินค้า เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอีกด้วย

ส่งออก ‘เวียดนาม’ วูบ ฉุด GDP ดิ่ง 5% 

เวียดนามได้รับผลกระทบรองลงมา โดย UNDP ระบุว่า การส่งออกของเวียดนามไปยังสหรัฐมีโอกาสลดลงถึง 19.2%  เนื่องจากสินค้าส่งออกที่สำคัญ เช่น เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต้องเผชิญกับภาษีเฉลี่ยประมาณ 20% ซึ่งที่ผ่านมาเวียดนามส่งออกไปยังสหรัฐมากถึง 36.6% ของการส่งออกทั้งหมด

ฟิลิป เชลเลนส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ UNDP ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่าในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากการขึ้นภาษี 20% ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงในสหรัฐมูลค่าการส่งออกของเวียดนามไปยังสหรัฐอาจลดลง "ในระยะเวลาหนึ่ง" ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าความเสียหายกว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 7.9 แสนล้านบาท หรือเกือบ 1 ใน 5 ของยอดรวมทั้งปี

 

"ไม่มีประเทศใดอาเซียนที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐมากไปกว่าเวียดนาม และในแง่ของมูลค่าการค้า มีเพียงจีนในเอเชียตะวันออกเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบหนักกว่า” เชลเลนส์ กล่าว 

หลังจากมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ ข้อมูลศุลกากรเวียดนามบ่งชี้ว่า การส่งออกของเวียดนามไปยังตลาดสหรัฐ ในเดือนส.ค.ลดลง 2% จากเดือนก.ค. โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออก “รองเท้า” ซึ่งเวียดนามเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ลดลงถึง 5.5%  

มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐที่ลดลงคาดว่าจะส่งผลกระทบให้จีดีพีของเวียดนามลดลงประมาณ 5% 

ทั้งนี้ผลกระทบที่แท้จริงอาจใช้เวลาหลายปีจึงจะเห็นผลอย่างเต็มที่ และสามารถบรรเทาลงได้ด้วย 3 ปัจจัยสำคัญ คือ ผู้ส่งออกยอมแบกรับต้นทุนบางส่วน, การกระจายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคอื่นๆ และการใช้จ่ายภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน ธนาคารโลกได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามสำหรับปีนี้ลงเหลือ 6.6% จาก 6.8% หลังจากมาตรการภาษีของสหรัฐมีผลบังคับใช้ โดยการคาดการณ์ใหม่ของธนาคารโลกต่ำกว่าเป้าหมายอย่างเป็นทางการของรัฐบาลที่ 8.3%-8.5%

คาดฉุด 'ส่งออกไทย' ร่วง  12.7%

สำหรับไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นกัน โดยคาดว่าการส่งออกไปยังสหรัฐจะลดลง 12.7% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกสินค้าสำคัญ เช่น รถยนต์, อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร ซึ่งสินค้าเหล่านี้ต้องเผชิญกับอัตราภาษีเฉลี่ยประมาณ 19%

นอกจากนี้ การที่อัตราการเติบโตของการส่งออกไปนอกสหรัฐยังคงติดลบ -1.9% ในเดือนส.ค.ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนตลาดเดิม รวมทั้งไทยยังมีความเสี่ยงที่จะถูกตรวจสอบในฐานะช่องทางส่งผ่านสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี  

อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกบางรายการของไทยยังได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 26% ของสินค้าทั้งหมดที่ส่งออกไปสหรัฐ ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบได้บ้าง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นส่วนสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐ

2 กลยุทธ์อาเซียนปรับตัวรับเทรดวอร์

ภาษีสหรัฐกระทบ  ‘กัมพูชา-เวียดนาม-ไทย’  เจ็บหนักสุดใน ‘อาเซียน’

ทั้งนี้ UNDP ระบุถึงวิธีการรับมือกับภูมิทัศน์การค้าโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงของอาเซียน ที่ไม่ใช่การหันหลังให้การค้าโลก แต่คือ การปรับตัวอย่างมีกลยุทธ์ด้วย 2 แนวทางสำคัญ คือ

1.การปรับตัวสู่ภายนอก เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก โดยไม่พึ่งพาตลาดเก่าเพียงอย่างเดียว 

  • กระจายความเสี่ยง

อาเซียนควรลดการพึ่งพาตลาดเดียว ด้วยการขยายตลาดใหม่ๆ   นอกจากนี้ยังต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคเพื่อเป็นเกราะป้องกันจากความผันผวนภายนอก เช่น การที่มาเลเซียผลักดันตนเองเป็นศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอร์ และศูนย์ข้อมูล และการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์  

รวมทั้ง การใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าที่มีอยู่ เช่น RCEP และ GSP+ ของสหภาพยุโรป ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ๆ ได้

  • เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

อาเซียนควรลงทุนในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น และใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน เพื่อลดการพึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์ และการเป็นเพียงฐานประกอบสินค้าง่ายๆ

  •  เศรษฐกิจดิจิทัล

การส่งเสริมการค้าดิจิทัล และอีคอมเมิร์ซให้เป็นช่องทางสำคัญจะช่วยให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) สามารถเข้าถึงตลาดโลกด้วยต้นทุนที่ต่ำลงได้ ตัวอย่างเช่น ประเทศไทยที่ตั้งเป้าขยายตลาดอีคอมเมิร์ซให้มีมูลค่าถึง 60,000 ล้านดอลลาร์ และในปีที่ผ่านมา อีคอมเมิร์ซของไทยเติบโตขึ้น 19% 

2.การสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน มุ่งเน้นการสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจและสังคมให้มั่นคง 

  • สร้างกลไกขับเคลื่อนการเติบโตในประเทศ

การปลดล็อกตลาดในประเทศโดยการแก้ไขอุปสรรคด้านกฎระเบียบจะช่วยกระตุ้นการบริโภคจากชนชั้นกลางที่กำลังขยายตัวได้ และการสนับสนุน MSMEs ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจในประเทศ ผ่านการเข้าถึงแหล่งทุน 

  • สร้างแรงงานที่พร้อมสำหรับอนาคต

การลงทุนในการยกระดับทักษะ (Upskilling) และปรับทักษะ (Reskilling) ให้แรงงานพร้อมสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งจำเป็น

อาเซียนกำลังสร้างห่วงโซ่อุปทานของตัวเอง

สิ่งสำคัญที่ได้เห็นจากรายงานของ UNDP สะท้อนว่าปัจจุบัน อาเซียนไม่ได้เพียงแต่ค้าขายกันภายในกลุ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังได้ร่วมกันสร้าง “ห่วงโซ่อุปทาน” อย่างแข็งแกร่ง  โดยเฉพาะ  "การบูรณาการแบบส่งต่อ" (forward integration) ซึ่งหมายถึงการส่งออกสินค้าขั้นกลางเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าขั้นสุดท้ายในประเทศเพื่อนบ้าน

จากข้อมูลในปี 2566 กว่าครึ่งหนึ่งของการส่งออกทั้งหมดภายในกลุ่มอาเซียน ที่ส่งออกไปนั้นเป็นวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ประเทศอื่นจะนำไปผลิตต่อ หรือเป็นสินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบที่นำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอย่าง บรูไน, ไทย และ มาเลเซีย ที่สัดส่วนการส่งออกประเภทนี้สูงกว่า 60% 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์