สหรัฐโยงการใช้ยาพารา 'ไทลินอล' เสี่ยงทำหญิงท้องมีลูกออทิสติก

มาตามคาด! สหรัฐประกาศเชื่อมโยงการใช้ยาพาราเซตามอล 'ไทลินอล' ในหญิงตั้งครรภ์และการใช้วัคซีนในวัยเด็ก เสี่ยงทำลูกเป็นออทิสติก
รอยเตอร์สรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศวานนี้ (22 ก.ย.) เชื่อมโยง "โรคออทิซึม" กับการใช้วัคซีนในวัยเด็ก และการใช้ยาแก้ปวด "ไทลินอล" ซึ่งเป็นยาพาราเซตามอลแก้ปวดยอดนิยมของสตรีมีครรภ์ แม้จะเป็นข้อกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับก็ตาม ซึ่งกลายเป็นประเด็นใหญ่ในวงการสาธารณสุขของสหรัฐที่มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางตามมา
ในการแถลงข่าวพิเศษที่ทำเนียบขาว ปธน.ทรัมป์ ได้กล่าวให้คำแนะนำทางการแพทย์แก่สตรีมีครรภ์และผู้ปกครองของเด็กเล็ก โดยย้ำหลายครั้งว่าไม่ควรใช้หรือให้ยาแก้ปวดแก่หญิงตั้งครรภ์ และไม่ควรใช้วัคซีนทั่วไปในเด็กเล็ก
“ผมอยากจะพูดตรงๆ ว่า อย่ากินไทลินอล อย่ากินมัน” ทรัมป์กล่าว “อีกอย่างที่เราแนะนำ หรืออย่างน้อยที่ผมทำก็คือ...อย่าปล่อยให้พวกเขาฉีด(วัคซีน)ใส่ลูกน้อยของคุณด้วยสารพัดกองมหึมาที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต”
คำแนะนำของทรัมป์ ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าตนไม่ใช่แพทย์ ขัดแย้งกับคำแนะนำของสมาคมแพทย์ ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากการศึกษาจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่า "อะเซตามิโนเฟน" หรือชื่อเรียกสามัญของยาพาราเซตามอลในสหรัฐ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของยาไทลินอล มีความปลอดภัยต่อสตรีมีครรภ์
หุ้นไทลินอลร่วงแรงกว่า 7%
ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทยาเคนวิว (Kenvue) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไทลินอล ดิ่งลงแรงกว่า 7% ระหว่างการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ ก่อนที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ 5% ในช่วงการเทรดนอกเวลาทำการปกติ (Extended Hours) แต่ในภาพรวมแล้ว ราคาหุ้นยังคงร่วงลงราว 14% นับตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. ที่เริ่มมีรายงานข่าวใน Wall Street Journal ว่ารัฐบาลสหรัฐมีแผนจะประกาศการเชื่อมโยงยาพาราเซตามอลกับโรคออทิซึม
“เราเชื่อว่างานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นอิสระและเชื่อถือได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการรับประทานอะเซตามิโนเฟน (พาราเซตามอล) ไม่ได้ทำให้เกิดโรคออทิซึม เราไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อเสนอแนะใดๆ ที่เป็นอย่างอื่น และกังวลอย่างยิ่งต่อความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับคุณแม่และผู้ปกครองที่กำลังตั้งครรภ์” เคนวิว ผู้ผลิตไทลินอลระบุในแถลงการณ์
ทรัมป์เคยกล่าวว่าเขาเชื่อมั่นในวัคซีนและยังสนับสนุนการเร่งพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในช่วงดำรงตำแหน่งสมัยแรก แต่ล่าสุด เขาได้เรียกร้องให้นำสารปรอทออกจากวัคซีน และกล่าวว่าเด็กไม่ควรได้รับ "วัคซีนตับอักเสบบี" ก่อนอายุ 12 ปี ซึ่งโดยปกติแล้ววัคซีนนี้จะให้ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด เขายังกล่าวอีกว่า "วัคซีนรวมหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน" ควรแบ่งฉีดเป็นสามเข็ม
ส่วนการประกาศความเชื่อมโยงระหว่างยาไทลินอลกับออทิซึมนั้น ทำให้นึกถึงการแถลงข่าวของทรัมป์ในช่วงแรกๆ ของการระบาดโควิด ที่เจ้าตัวมักจะให้คำแนะนำที่ไม่ได้อิงหลักวิทยาศาสตร์ รวมถึงเคยแนะนำให้ฉีดสารฟอกขาวฆ่าเชื้อโควิดมาแล้ว
ทรัมป์หนุนใช้ยา LEUCOVORIN สู้ออทิสซึม
ทีมวิจัยของทรัมป์แนะนำให้ใช้ "ลิวโคโวริน" (LEUCOVORIN) ซึ่งเป็น "กรดโฟลิก" ชนิดหนึ่ง เป็นวิธีการรักษาอาการของโรคออทิซึม
ทรัมป์ได้ยืนหยัดเคียงข้าง โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีสาธารณสุข ผู้เป็นสายต่อต้านวัคซีนว่า ไม่มีวัคซีนใดปลอดภัย โดยเรียกร้องให้มีการตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่างวัคซีนกับออทิซึมอีกครั้ง แม้จะเป็นทฤษฎีที่ถูกหักล้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ด้านมาร์ตี้ มาคารี ผู้อำนวยการ FDA กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า รัฐบาลได้ขอให้บริษัทผลิตยาเตรียมพร้อมที่จะเพิ่มการผลิตลิวโคโวรินเพื่อใช้เป็นยารักษาผู้ป่วยออทิซึมบางรายแล้ว
วงการสาธารณสุขมองอย่างไร
ไมเคิล เจ. ไนเอนฮุยส์ ประธานและซีอีโอขององค์การยูนิเซฟ สหรัฐ กล่าวว่า การศึกษาแสดงให้เห็นว่าวัคซีนมีความปลอดภัย สามารถกำจัดโรคในวัยเด็ก เช่น โรคโปลิโอและโรคหัดในสหรัฐได้ โดยคาดว่าในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา วัคซีนที่จำเป็นเหล่านี้ช่วยชีวิตคนได้อย่างน้อย 154 ล้านคน
ทางด้าน ดร. นอร์แมน เบย์เลอร์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยและทบทวนวัคซีนขององค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กล่าวว่า "ผมไม่สามารถพูดได้ว่าผมเคยเจออะไรแบบนี้ในวัคซีนมาก่อน" (ตามที่ทรัมป์อ้าง)
ขณะที่ผลสำรวจของรอยเตอร์ส/อิปซอสในเดือนนี้ แสดงให้เห็นว่า มีชาวอเมริกันเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่เชื่อว่าคำแนะนำล่าสุดของรัฐบาลทรัมป์ในการลดปริมาณวัคซีน อ้างอิงมาจากหลักฐานและข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์







