‘บัณฑิตล้นตลาด’ แต่ขาด ‘ช่างฝีมือ’ เด็กจีนจบปริญญา หันเรียนอาชีวะต่อ

ตลาดแรงงานจีนเจอภาวะ ‘บัณฑิตล้น–ช่างฝีมือขาด’ เรียนจบสูงแต่หางานยาก ต้องผันตัวไปทำงานรับจ้างหรือกลับบ้าน ขณะที่อุตสาหกรรมเกิดใหม่กลับขาดแรงงานฝีมือมหาศาล กระแสใหม่จึงเกิดขึ้น คนจบป.ตรีและโทแห่เรียน ‘อาชีวะ’ เพื่อคว้าโอกาสงานจริงและปรับตัวสู่ตลาดแรงงานที่ต้องการทักษะฝีมือ
ในทุกปี จีนผลิต “บัณฑิตมหาวิทยาลัย” ออกมามหาศาล แต่กลับหางานยาก หลายคนต้องผันตัวเป็นไรเดอร์ส่งอาหาร ไลฟ์สตรีมเมอร์ หรือแม้แต่กลับไปอยู่บ้านพ่อแม่แทน ในขณะที่ตำแหน่งงานสายเทคนิค เช่น การผลิต ไอที และสาธารณสุข กลับ “ขาดแคลนแรงงาน” นับสิบล้านตำแหน่ง นี่จึงทำให้บัณฑิตจีนไม่น้อย หันไปเรียนต่อ “อาชีวะ” แทน ซึ่งให้โอกาสงานมากกว่า
“งานผลิตระดับล่างอาจใช้หุ่นยนต์ได้ แต่เรายังขาด ‘แรงงานช่างฝีมือ’ ที่เขียนโค้ดหรือควบคุมเครื่องจักรเหล่านั้น” แดน หวัง ผู้อำนวยการประจำจีนของ Eurasia Group กล่าว
หนึ่งในนั้น คือ เกา เซิงหาน หลังจบ “ปริญญาตรีสาขาการแสดงดนตรี” เธอผ่านงานหลายอย่างมา 6 ปี ทั้งเป็นครูดนตรี เจ้าของร้านอาหาร และร้านเสื้อผ้า สุดท้ายความหลงใหลในแฟชั่นและต้องการเพิ่มโอกาสแข่งขัน ทำให้เธอเลือกเส้นทาง “กลับมาเรียนสายอาชีพ” เป็นนักศึกษาใหม่ด้านแฟชั่นที่ Guangzhou Baiyun Technician College of Business and Technology
ปรากฏการณ์นี้ยังรวมถึงถง เจี๋ยจง ที่แม้จะจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งอย่างชิงหัว แต่ภายหลังเธอถูกเลิกจ้างจากงานวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศ จึงหันมาสมัครเรียนสาขาอาชีพ ศิลปะการทำอาหารที่ Shandong Lanxiang Technician College แม้คนในออนไลน์จะประหลาดใจ แต่ถงยืนยันว่าความรักในการทำอาหารคือแรงผลักดันหลักของเธอ
จากข้อมูลเว็บไซต์บริการหางาน Zhaopin เผยว่า ภายในเดือนเมษายน 2024 มีบัณฑิตปริญญาตรีที่ได้รับข้อเสนองานเพียง 45% ในขณะที่ผู้จบ “วิทยาลัยอาชีวะ” มีอัตราได้งานสูงถึง 57% เพราะสถาบันเหล่านี้มักมีเครือข่ายฝึกงานและบรรจุงานร่วมกับบริษัทเอกชน
- งานด้านสายอาชีพ กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด (ภาพ: shutterstock) -
บัณฑิตล้นตลาด แต่ขาดช่างฝีมือ
ในขณะนี้ บัณฑิตมหาวิทยาลัยมักเผชิญปัญหาใหญ่ คือ “ความรู้เชิงทฤษฎีไม่สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมจริง” ทำให้มีคุณสมบัติสูงเกินไปสำหรับงานเริ่มต้น แต่ทักษะไม่พอสำหรับงานเทคนิค
เหมา อวี้เฟย รองศาสตราจารย์คณะเศรษฐศาสตร์แรงงานมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจปักกิ่งระบุว่า แนวโน้มนี้สะท้อนความจำเป็นในการปฏิรูปการศึกษา
“หากนักเรียนเรียนจบการศึกษาระดับสูงแล้ว ยังต้องกลับมาฝึกสายอาชีพ แสดงว่าทรัพยากรการศึกษาเดิมไม่ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นทักษะที่ใช้ได้จริง ส่งผลให้เกิดการซ้ำซ้อนและสิ้นเปลืองทรัพยากรทั้งคน อุปกรณ์การเรียนการสอน และการเงิน” เหมากล่าว
แนวโน้มนี้สะท้อนความขัดแย้งเชิงโครงสร้างตลาดแรงงานจีน คือมีผู้สมัครงานสายออฟฟิศล้นตลาด ขณะเดียวกันกลับขาดแคลนแรงงานทักษะสูง สำหรับอุตสาหกรรมเกิดใหม่อย่างรุนแรง
รัฐดันสายอาชีพ สู่โรงงานและเทคโนโลยีอนาคต
ด้วยการขาดแคลนเช่นนี้ รัฐบาลจีนโดยเฉพาะประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จึงส่งสัญญาณสนับสนุนให้เยาวชนเลือกเรียน “สายอาชีวะ” ซึ่งเป็นหลักสูตร 3 ปี เน้นสร้างทักษะช่างเทคนิค เครื่องจักร วิศวกรหุ่นยนต์ พยาบาล และสายงานเฉพาะอื่นๆ เพื่อป้อนโรงงานและอุตสาหกรรมที่กำลังขาดแคลนคน
ปัจจุบัน จีนมีนักศึกษามหาวิทยาลัยกว่า 20 ล้านคน เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยของจีนกว่า 1,300 แห่ง และอีก 17 ล้านคน ศึกษาอยู่ในวิทยาลัยอาชีวะกว่า 1,500 แห่ง
เป้าหมายของรัฐบาลคือ ยกระดับสถาบันอาชีวะให้เป็น “อาชีวะชั้นนำระดับโลก” ภายในปี 2035 โดยค่าเล่าเรียนแทบไม่ต่างกันอยู่ที่ราว 6,000 หยวน (ประมาณ 26,000 บาท) ต่อปีในสถาบันของรัฐ ส่วนโรงเรียนเอกชนมักมีค่าใช้จ่ายอย่างน้อยสองเท่าของอัตรานี้
ผู้ปกครองจีนติดค่านิยม สายสามัญดูมีศักดิ์กว่าอาชีวะ
แม้รัฐบาลประกาศตั้งแต่สามปีก่อนว่า ผู้เรียนสายสามัญและสายอาชีพควรมีโอกาสเท่าเทียมกัน แต่ในความเป็นจริงหลายบริษัทใหญ่ยังต้องการใบปริญญาตรี สำหรับตำแหน่งงานที่มีเกียรติหรือมีชื่อเสียงมากกว่า อีกทั้งบัณฑิตมหาวิทยาลัยยังมีรายได้เฉลี่ยหลังจบ 3 ปีที่ราว 10,168 หยวน หรือราว 45,000 บาทต่อเดือน สูงกว่าผู้จบวิทยาลัยอาชีวะราว 1 ใน 3 ตามข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษาการศึกษา Mycos
เหตุผลเพราะตลอดหลายพันปีในจีน เป้าหมายของการศึกษาคือ การสอบผ่าน “ระบบจอหงวน” เพื่อรับตำแหน่งข้าราชการ ดังนั้นเด็กที่ตั้งใจเข้ามหาวิทยาลัยในปัจจุบัน จึงใช้เวลาเกือบทั้งหมดในช่วงมัธยมปลายเพื่อเตรียมสอบ “เกาเข่า” ซึ่งเป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ทรหดและกินเวลาหลายวัน
ผู้ที่ทำคะแนนได้สูงสุดจะได้เข้า “มหาวิทยาลัยชั้นนำ” ส่วนผู้ที่คะแนนต่ำกว่าจะต้องเลือก มหาวิทยาลัยที่ไม่โด่งดังนัก หรือแม้แต่ “วิทยาลัยอาชีวะ”
ความคิดของผู้ปกครองก็เป็นอุปสรรค ผู้ปกครองส่วนใหญ่เชื่อในการเรียนหนักว่า “โรงเรียนที่ดีคือต้องปลุกเด็ก 6 โมงเช้า และให้เรียนยาวถึง 5 ทุ่ม” หลี่ รู่หยวน ครูใหญ่โรงเรียนอาชีวะในมณฑลเหอเป่ยกล่าว “ถ้าบอกว่าเด็กสามารถเล่นหรือทำกิจกรรมส่วนตัวได้ พ่อแม่จะกังวลทันที”
ปรับภาพลักษณ์สายอาชีพใหม่ ‘รากฐานของชาติ’
ที่ผ่านมา ปธน.สี จิ้นผิงซึ่งเคยบริหารวิทยาลัยอาชีวะในทศวรรษ 1990 พยายามยกระดับภาพลักษณ์ของการเรียนสายช่าง โดยเรียกแรงงานฝีมือว่า “รากฐานของชาติ” อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเดิมๆ ยังคงฝังลึก
ปี 2021 การเสนอควบรวมมหาวิทยาลัยเอกชนบางแห่งกับวิทยาลัยอาชีวะเพื่อเพิ่มศักยภาพสายช่างกลับจุดกระแสต่อต้าน เพราะกลัวว่าการควบรวมจะทำให้ปริญญาของตนด้อยค่า โดยมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนครหนานจิง มีการประท้วงหนักถึงขั้นนักศึกษากักตัวคณบดี ก่อนที่ตำรวจจะเข้าช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม สถาบันอาชีวะบางแห่งก็เริ่มสร้างชื่อทัดเทียมมหาวิทยาลัยชั้นนำแล้ว เช่น Shenzhen Polytechnic University ที่ได้รับฉายา “ชิงหัวน้อย” ด้วยความร่วมมือใกล้ชิดกับบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Huawei และสนับสนุนสตาร์ตอัปของนักศึกษา จึงดึงดูดคนเก่งที่สามารถเลือกมหาวิทยาลัยชั้นนำได้
“ฉันได้รู้ว่า ไม่จำเป็นต้องมีปริญญาโท ก็ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการได้” โจวเฉิน นักศึกษาที่นี่กล่าว
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเหล่านี้ ไม่ว่าบัณฑิตที่กลับมาฝึก “สายอาชีพ” กลางคัน หรือเด็กเก่งที่เลือกเส้นทางอาชีวะตั้งแต่แรก เหมา อวี้เฟยจึงแนะนำ “แนวทาง 2 ข้อ” อย่างแรก มหาวิทยาลัยควรปรับหลักสูตรให้เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมจริง เช่น หลักสูตรปริญญาตรีเชิงปฏิบัติ หรือปริญญาโทสายวิชาชีพ และสอง รัฐบาลควรสร้างระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้คนสามารถพัฒนาทักษะต่อเนื่องไปตลอดอาชีพ โดยไม่ควรรอให้เกิดปัญหาในอาชีพ แล้วค่อยมาฝึกเพิ่มในภายหลัง
อ้างอิง: bloomberg, nikkei, yicai






