ผู้นำเกาหลีใต้หวั่นเกิดวิกฤติการเงิน หากทำตามเงื่อนไขสหรัฐ

ประธานาธิบดีอี แจ-มยอง แห่งเกาหลีใต้ เตือนความต้องการลงทุนของสหรัฐ ภายใต้ข้อตกลงการค้าจะก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินคล้ายวิกฤตปี 2540
KEY
POINTS
- ผู้นำเกาหลีใต้แสดงความกังวลว่าข้อเรียกร้องของสหรัฐ ที่ให้เกาหลีใต้ลงทุน 350,000 ล้านดอลลาร์ อาจก่อให้เกิดวิกฤติการเงินรุนแรงคล้ายปี 2540
- ประธานาธิบดีอี แจ-มยอง ชี้ว่าการถอนเงินจำนวนมหาศาลไปลงทุนโดยไม่มีมาตรการเสริมสภาพคล่อง เช่น ข้อตกลงสวอปสกุลเงิน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหนัก
- ข้อตกลงการค้าระหว่างสองประเทศยังไม่ได้ลงนามอย่างเป็นทางการ เนื่องจากยังมีความขัดแย้งในรายละเอียดและวิธีการจัดการการลงทุนเพื่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ประธานาธิบดีอี แจ-มยอง แห่งเกาหลีใต้ เตือนความต้องการลงทุนของสหรัฐ ภายใต้ข้อตกลงการค้าจะก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินคล้ายวิกฤตปี 2540
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานวานนี้ (21 ก.ย.68) ว่า ประธานาธิบดีอี แจ -มยอง กล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า เศรษฐกิจของเกาหลีใต้ อาจตกอยู่ในวิกฤตการณ์เทียบเท่ากับวิกฤตการณ์ในปี 1997 หากรัฐบาลยอมรับข้อเรียกร้องของสหรัฐ ในปัจจุบันในการเจรจาการค้าที่หยุดชะงักโดยไม่มีมาตรการป้องกัน
ทั้งนี้ โซลและวอชิงตันได้ตกลงกันด้วยวาจาในข้อตกลงการค้าเมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งสหรัฐ จะลดภาษีนำเข้าสินค้าเกาหลีใต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อแลกกับเงินลงทุน 350,000 ล้านดอลลาร์จากเกาหลีใต้ รวมถึงมาตรการอื่นๆ
ผู้นำเกาหลีใต้กล่าวว่า พวกเขายังไม่ได้ลงนามในข้อตกลงดังกล่าว เนื่องจากยังมีข้อพิพาทเกี่ยวกับวิธีการจัดการการลงทุน
“ถ้าไม่มีมาตรการเสริมสภาพคล่องผ่านการสวอปสกุลเงิน หากเราถอนเงิน 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในลักษณะที่สหรัฐฯ เรียกร้อง และนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสหรัฐฯ เป็นเงินสด เกาหลีใต้จะเผชิญกับสถานการณ์เช่นเดียวกับวิกฤตการณ์ทางการเงินปี 1997” เขากล่าวผ่านล่าม
ในการให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบประธานาธิบดีเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.) อี แจ-มยองยังได้กล่าวถึงปฏิบัติการบุกจับผู้อพยพครั้งใหญ่ของสหรัฐ ที่ควบคุมตัวชาวเกาหลีใต้หลายร้อยคน รวมถึงความสัมพันธ์ของโซลกับเกาหลีเหนือ คู่แข่ง จีน และรัสเซีย
แต่การเจรจาด้านการค้าและการป้องกันประเทศกับสหรัฐ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางทหารและหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจชั้นนำของเกาหลีใต้ กำลังบดบังการเดินทางของอี แจ-มยองไปยังนิวยอร์กในวันจันทร์ (22 ก.ย.) ซึ่งเขาจะกล่าวปราศรัยต่อสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ และเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนแรกที่ได้เป็นประธานการประชุมคณะมนตรีความมั่นคง
ชื่นชมทรัมป์จัดการเหตุบุกค้นฮุนได
อี ผู้มีแนวคิดเสรีนิยม เข้ารับตำแหน่งในการเลือกตั้งกะทันหันเมื่อเดือนมิถุนายน หลังจากยุน ซอก ยอล อดีตผู้นำฝ่ายอนุรักษนิยม ถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกจำคุกในข้อหาประกาศกฎอัยการศึกช่วงสั้นๆ อีพยายามสร้างความสงบสุขให้กับประเทศและเศรษฐกิจ และกล่าวว่าเขาวางแผนที่จะใช้การเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้เพื่อบอกโลกว่า “ประชาธิปไตยเกาหลีกลับมาแล้ว”
อีได้พบกับทรัมป์ในการประชุมสุดยอดครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม โดยกล่าวว่าเขาได้สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวที่แน่นแฟ้นกับผู้นำสหรัฐฯ แม้จะยังไม่เห็นด้วยกับแถลงการณ์ร่วมหรือการประกาศที่เป็นรูปธรรมก็ตาม
ในเดือนนี้ รัฐบาลทรัมป์สร้างความปั่นป่วนให้กับเกาหลีใต้ด้วยการจับกุมคนงานชาวเกาหลีใต้กว่า 300 คน ที่โรงงานแบตเตอรี่บริษัทฮุนได มอเตอร์ ในรัฐจอร์เจีย โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางกล่าวหาว่าพวกเขาละเมิดกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง
อีกล่าวว่า ชาวเกาหลีใต้รู้สึกโกรธเคืองกับการปฏิบัติที่ “รุนแรง” ต่อคนงาน โดยรัฐบาลทรัมป์เผยแพร่ภาพคนงานถูกพันธนาการ และเตือนว่าการกระทำเช่นนี้อาจทำให้บริษัทต่างๆ ระมัดระวังการลงทุนในสหรัฐอเมริกา
แต่เขากล่าวว่าการบุกตรวจค้นครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยชื่นชมทรัมป์ที่เสนอให้คนงานอยู่ต่อ อีกล่าวว่าเขาไม่เชื่อว่าทรัมป์เป็นผู้สั่งการ แต่เป็นผลจากการบังคับใช้กฎหมายที่เกินขอบเขต
“ผมไม่เชื่อว่านี่เป็นการจงใจ และสหรัฐ ได้ขอโทษสำหรับเหตุการณ์นี้แล้ว และเราตกลงที่จะหามาตรการที่เหมาะสมในเรื่องนี้ และเรากำลังดำเนินการอยู่” เขากล่าว
สำนักงานของอีกล่าวว่าไม่มีแผนให้เขาพบกับทรัมป์ที่นิวยอร์ก และการเจรจาการค้าไม่ได้อยู่ในวาระการเยือนครั้งนี้
อุปสรรคเจรจาการค้า
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ฮาวเวิร์ด ลัตนิก กล่าวว่าเกาหลีใต้ควรปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ เขากล่าวว่าโซลจำเป็นต้องยอมรับข้อตกลงนี้ หรือไม่ก็ต้องจ่ายภาษี ลัตนิกตอกย้ำข้ออ้างของรัฐบาลทรัมป์ที่ว่ารัฐบาลต่างชาติเป็นผู้จ่ายภาษี แต่ความจริงแล้วภาษีเหล่านี้จ่ายโดยผู้นำเข้าของสหรัฐ
เมื่อถูกถามว่าเขาจะถอนตัวจากข้อตกลงหรือไม่ อีกล่าวว่า “ผมเชื่อว่าระหว่างพันธมิตรทางสายเลือด อย่างน้อยที่สุดเราจะสามารถรักษาความมีเหตุผลไว้ได้”
เกาหลีใต้ได้เสนอข้อตกลงเสริมสภาพคล่องผ่านธุรกรรมสวอปเงินตราต่างประเทศกับสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบจากการลงทุนในสกุลเงินวอนในตลาดภายในประเทศ อีไม่ได้ระบุว่าสหรัฐ มีแนวโน้มที่จะตกลงหรือไม่ หรือข้อตกลงดังกล่าวจะเพียงพอต่อการดำเนินการหรือไม่
เขากล่าวว่าเกาหลีใต้แตกต่างจากญี่ปุ่น ซึ่งได้ทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ ในเดือนกรกฎาคม อีกล่าวว่าโตเกียวมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมากกว่าสองเท่าของเกาหลีใต้ ซึ่งมีอยู่เพียง 410,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีข้อตกลงสวอปกับสหรัฐ
โซลและวอชิงตันได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรว่าโครงการลงทุนใดๆ จะต้องสามารถดำเนินการได้ในเชิงพาณิชย์ แต่การจัดทำรายละเอียดต่างๆ เป็นเรื่องยาก เขากล่าว
“การบรรลุข้อตกลงโดยละเอียดที่รับประกันความสมเหตุสมผลทางการค้าเป็นภารกิจหลักในขณะนี้ แต่ยังคงเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด” อีกล่าว ข้อเสนอระหว่างการเจรจาระดับปฏิบัติการไม่ได้ให้หลักประกันถึงความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ ทำให้ยากที่จะปิดช่องว่างดังกล่าว เขากล่าว
ทรัมป์กล่าวว่าการลงทุนจะถูก “เลือก” โดยเขาและควบคุมโดยสหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่าวอชิงตันจะมีอำนาจตัดสินใจเองว่าจะลงทุนอะไร
แต่ที่ปรึกษาด้านนโยบายนาย คิม ยอง-บอม กล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคมว่าเกาหลีใต้ได้เพิ่มกลไกความปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงด้านการเงิน รวมถึงการสนับสนุนโครงการที่เป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ แทนที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินแบบไม่มีเงื่อนไข
นายอียืนยันว่าเกาหลีใต้และสหรัฐ ไม่ได้ขัดแย้งกันในการเพิ่มงบประมาณในการป้องกันประเทศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกำลังทหารสหรัฐฯ 28,500 นายในคาบสมุทรเกาหลี แต่วอชิงตันต้องการให้การเจรจาด้านความมั่นคงและการค้าแยกออกจากกัน
“เราควรยุติสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงนี้โดยเร็วที่สุด” เขากล่าว เมื่อถูกถามว่าการเจรจาอาจยืดเยื้อไปจนถึงปีหน้าหรือไม่
ความตึงเครียดกับเกาหลีเหนือ จีน และรัสเซีย
อีพยายามลดความตึงเครียดกับเกาหลีเหนือซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์ เปียงยางปฏิเสธข้อเสนอของเกาหลีใต้ และอีกล่าวว่าเขาไม่ค่อยมั่นใจเกี่ยวกับแนวโน้มการเจรจาระหว่างเกาหลีในขณะนี้
ระหว่างการพบปะกันที่ผ่านมา อีสนับสนุนให้ทรัมป์พยายามพบกับคิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนืออีกครั้ง ระหว่างการเดินทางของทรัมป์ในเดือนหน้าเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชีย-แปซิฟิกที่อีจะเป็นเจ้าภาพในเกาหลีใต้
อีกล่าวกับรอยเตอร์ว่ารัฐบาลของเขาไม่มีข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับสถานะการเจรจาใดๆ ระหว่างวอชิงตันและเปียงยาง “เราเห็นว่าพวกเขาไม่ได้มีการเจรจาที่เป็นรูปธรรม” เขากล่าว
เขากล่าวว่าเขาเห็นด้วยกับยุน อดีตผู้นำเกาหลีเหนือที่ว่าความร่วมมือทางทหารของเกาหลีเหนือกับรัสเซียเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อความมั่นคงของเกาหลีใต้ แต่เขากล่าวว่าการตอบสนองต่อประเด็นนี้ด้วยวิธีง่ายๆ นั้นไม่เพียงพอ ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขผ่านการเจรจาและการประสานงาน
ผู้นำเกาหลีเหนือและประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันที่กรุงปักกิ่งในเดือนนี้ ขณะที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ของจีนเป็นเจ้าภาพต้อนรับพวกเขาในพิธีสวนสนามทางทหารครั้งยิ่งใหญ่และการประชุมสุดยอด
อีกล่าวว่ามีการเผชิญหน้ากันที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างค่ายประเทศสังคมนิยมและค่ายประเทศทุนนิยมประชาธิปไตยซึ่งรวมถึงกรุงโซล และด้วยภูมิศาสตร์ของเกาหลีใต้ ทำให้เกาหลีใต้อยู่ด่านหน้าของความขัดแย้งใดๆ กับค่ายอื่น
เขากล่าวว่ามีการแข่งขันและความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกากำลังกระชับความร่วมมือกัน ขณะที่จีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น “นี่เป็นสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่งสำหรับเกาหลี และเราต้องหาทางออกเพื่อยุติความตึงเครียดทางทหารที่ทวีความรุนแรงขึ้น” อีกล่าว “เราต้องหาหนทางเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”






