SCO : ตัวแสดงใหม่ในโลกที่ต้องจับตามอง | ฐานุวัชร์ รินนานนท์

SCO : ตัวแสดงใหม่ในโลกที่ต้องจับตามอง | ฐานุวัชร์ รินนานนท์

การประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization : SCO) จัดขึ้นในวันที่ 31/08 – 01/09 ก่อนการจัดการสวนสนาม (03/09) และแน่นอนว่าประเทศต่างๆ ที่ได้รับเชิญเข้าร่วม ย่อมมีนัยยะอะไรหลายอย่างซ่อนอยู่ในนั้น

วันที่ 3 กันยายน 2025 ได้มีการจัดการสวนสนามครั้งยิ่งใหญ่เฉลิมฉลองการครบรอบ 80 ปีของชัยชนะในสงครามต่อต้านญี่ปุ่นและสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งก็อาจดูเป็นเรื่องธรรมดาที่มักจะจัดกันในหลายๆ ประเทศเพื่อรำลึกเหตุการณ์สำคัญในอดีต

แต่ทว่าการจัดสวนสนามครั้งนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้น ซึ่งทั่วโลกควรต้องจับตามองท่าทีอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยในบรรยากาศการเมืองโลกที่ร้อนแรงในปัจจุบัน

นั่นก็คือการประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization : SCO) ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 31/08 – 01/09 ก่อนการจัดการสวนสนาม (03/09) และแน่นอนว่าประเทศต่างๆ ที่ได้รับเชิญเข้าร่วม ย่อมมีนัยยะอะไรหลายอย่างซ่อนอยู่ในนั้น

ทำความรู้จัก SCO ในเบื้องต้น

องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 15 มิถุนายน 2001 จากประเทศสมาชิกผู้ก่อตั้ง คือ จีน รัสเซีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน และอุซเบกิสถาน แต่ขยายสมาชิกออกไป โดยอินเดียและปากีสถานเข้าร่วมในปี 2017 อิหร่านในปี 2023 และเบลารุสในปี 2024 รวมเป็น 10 ประเทศ

 นอกจากนี้ยังมีประเทศผู้สังเกตการณ์อีก 2 ประเทศ นั่นคือ อัฟกานิสถานและมองโกเลีย และอีก 14 ประเทศคู่เจรจา (dialogue partners) ประกอบด้วย อาเซอร์ไบจาน อาร์เมเนีย กัมพูชา เนปาล ตุรเคียร์ ศรีลังกา ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ การ์ตา บาห์เรน มัลดีฟ เมียนมา สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรต และคูเวต

SCO มีสถานะเป็นองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งต่างจาก BRICS ที่เป็นลักษณะ Political Club (ที่ไม่มีกลไกขับเคลื่อนหลัก ไม่มีสำนักงานเลขาธิการ)

โดยมีสำนักงานเลขาธิการอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน และมีสำนักงาน the Executive Committee of the Regional Anti-Terrorist Structure (RATS) ที่กรุงทาชเคนท์ ประเทศอุซเบกิสถาน

SCO มีความน่าสนใจขึ้นมาเป็นอย่างมากในแง่ของความมั่นคงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ทางการเมืองโลก (นอกเหนือจากทางเศรษฐกิจที่มักจะมีการวิเคราะห์ผ่านกลุ่ม BRICS เป็นหลัก)

เพราะเป็นกลุ่มความมั่นคงที่มีขนาดใหญ่ราว 1 ใน 4 ของโลก (24%) และถือเป็นขนาดพื้นที่มากถึง 60% ของยูเรเชีย และมีประชากรรวมกันมากถึง 40% ของทั้งโลก มากไปกว่านั้นยังมีขนาด GDP รวมกันราว 20% และยังมีสัดส่วนการสำรองน้ำมันราว 20% ของทั้งโลก

อีกทั้งรัสเซียยังเป็นเจ้าของก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลก (และสำคัญต่อยุโรปเป็นอย่างมาก) ซึ่งเมื่อเทียบกับนาโต้ (NATO) ซึ่งมีสมาชิกรวม 32 ประเทศ มี GDP คิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของทั้งโลก

รัสเซียมีประชากรรวมราว 958 ล้านคน (ราว 12%) มีพื้นที่ราว 18.5% ของทั้งโลก ครอบคลุมพื้นที่ยุโรปและอเมริกาเหนือ ก็จะเห็นว่า อัตราขีดความสามารถอยู่ในระดับที่น่าสนใจ

แม้โดยภาพรวมในงบประมาณทางการทหารของ NATO จะยังมากกว่า SCO อยู่มาก รวมทั้งสมรรถนะและฐานทัพของทางฝั่ง NATO ที่ดูจะเหนือกว่าฝั่ง SCO

แต่ทว่าด้วยศักยภาพของ SCO ตามนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่าอยู่ในระดับที่ไม่สามารถ “มองข้าม” ได้เลย และทั้งนี้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า SCO ไม่ได้ประกาศวางตัวของตัวเองแบบชัดแจ้งว่า เป็นความร่วมมือทางการทหารเหมือนกับ NATO แต่เป็นการสร้างความร่วมมือในหลากหลายมิติ รวมทั้งเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยี และอื่นๆ

ทั้งนี้ SCO มีภาษาทางการอยู่ 2 ภาษาคือ ภาษาจีนและภาษารัสเซีย ซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้ประเทศสมาชิกส่วนใหญ่จะใช้ภาษาจีนและภาษารัสเซีย และประเทศสมาชิกอื่น เช่น อินเดียและปากีสถานก็ไม่ได้ใช้ 2 ภาษานี้เป็นหลัก

ทำให้สามารถพิจารณาได้ถึงการให้ความสำคัญและยุทธศาสตร์ในการวางตัวต่อตะวันตกได้ค่อนข้างชัด ว่าองค์กรนี้มีวัตถุประสงค์หลักในการคานอำนาจกับฝั่งตะวันตกอย่างชัดเจน

การประชุม SCO SUMMIT จะถูกจัดขึ้นปีละ 1 ครั้ง โดยหมุนเวียนกันเป็นประธานในการจัดประชุม แต่ในปี 2025 นี้มีความน่าใจ เพราะจีนเป้นเจ้าภาพจัดที่กรุงเทียนจิน และเป็นปีครบรอบชัยชนะ 80 ปีของจีนต่อญี่ปุ่น

ทำให้สะท้อนถึงแง่มุมทางการเมืองระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก เพราะประเทศที่ได้รับเชิญเข้าร่วมในครั้งนี้ มีหลายประเทศน่าสนใจ นั่นคือ เกาหลีเหนือ (ซึ่งมักไม่ได้เข้าร่วมในการประชุมในรูปแบบพหุภาคีหลายฝ่าย)

ซึ่งถูกมองกันว่าเป็นการประกาศถึงการสร้างเครือข่ายเอเชียตะวันออกต่อต้านฝั่งเกาหลีใต้และญี่ปุ่นซึ่งอยู่ข้างตะวันตกอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีการเชิญ Antonio Guterres เลขาธิการองค์การสหประชาชาติเข้าร่วม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Global Order ยุคใหม่นี้ ยังคงมี UN เป็นแกนกลางอยู่ แต่ขั้วอำนาจจะเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว ไม่ใช่เฉพาะฝั่งตะวันตกที่จะคุมเกมอย่างเดียว

มีการเชิญประธานอาเซียน และเลขาธิการเข้าร่วม สะท้อนชัดเจนว่าจีนต้องการขยายความเข้มแข็งครอบคลุมพื้นที่อินโดแปซิฟิก (Indo-Pacific) เพื่อตอบโต้ฝั่งอเมริกา ซึ่งเป็นพื้นที่ทางกลยุทธ์ที่สำคัญมาตั้งแต่ยุคประธานาธิบดีโจ ไบเดน (ซึ่งพยายามก่อตั้ง IPEF: Indo-Pacific Economic Framework)

น่าสนใจไปกว่านั้นอีกก็คือ มีการเชิญ Robert Fico นายกรัฐมนตรีแห่งสโลวาเกีย ซึ่งเป็น 1 ในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปเข้าร่วมเจรจาด้วย (น่าสนใจมาก เพราะ EU มีประเด็นกับรัสเซียกรณียูเครน

แต่ด้วยแนวทางนโยบายของอียูอาจไม่ตอบโจทย์สโลวาเกียมากนัก ทำให้ยังคงมีการติดต่อกับรัสเซียอย่างเรื่อยๆ และยังหันเหความสนใจมาทางฝั่งจีน หลังจากมีการลงนามในข้อตกลงหลายเรื่องกับจีนในช่วงกลางปี) และมีการเชิญตุรเคีย ประเทศสมาชิกนาโต้ (ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของ NATO) เข้าร่วม 

การจัดประชุม SCO ครั้งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการตอบโต้ทางเศรษฐกิจการเมืองโลกในยุคที่มีความร้อนแรงจากภาษีทรัมป์ (Reciprocal Tariff) เป็นอย่างมาก

ซึ่งเห็นได้ชัดจากกรณีอินเดีย (ซึ่งหากมีเวลา คงได้พูดเรื่องนี้อีกครั้ง) ที่ท่าทีสลับไปมาหลายครั้งในช่วงสงครามเย็นมาจนกระทั่งในปัจจุบัน

ซึ่งนายกรัฐมนตรีโมดีมีท่าทีชื่นมื่นเป็นอย่างมากกับจีนและรัสเซีย (ซึ่งเดิมมีท่าทีตึงเครียดในเรื่องของเขตแดนกับจีน) เพราะถูกบีบด้านภาษีจากทรัมป์สูงถึง 50% เพราะอินเดียใช้พลังงานจากรัสเซีย ทำให้อินเดียต้องปรับท่าที และคงต้องหาพันธมิตรใหม่

และจาก 26 ประเทศที่จีนเชิญครั้งนี้ แนวโน้มการสร้างพันธมิตรเหมือนครั้งสหภาพโซเวียตค่อยๆ ฉายภาพชัดขึ้น (แม้จะไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นคอมมิวนิสต์เหมือนครั้งสงครามเย็นก็ตาม)

ซึ่งเป็นที่น่าสนใจและจับตามองเป็นอย่างมาก และสหรัฐอเมริกาคงไม่อยู่เฉย น่าจะต้องมีมาตรการบางอย่างเพื่อการตอบโต้

แต่อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายก็มองตรงกันว่า Reciprocal Tariff ของทรัมป์เป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้เพื่อนรักต้องจากลาไปสร้างพันธมิตรใหม่

ประเทศไทย ซึ่งไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมในครั้งนี้ ก็มองได้หลายมุม มีนักวิชาการหลายคนได้แสดงทัศนะเรื่องนี้ด้วยหลายเหตุผล

หากมองในแง่ดี ก็ถือว่าไทยเองไม่มีจุดยืนในการเข้าข้างจีนหรือฝ่ายรัสเซียแบบสุดประตู (แม้เราจะเป็นประเทศผู้สังเกตการณ์ใน BRICS แต่ก็เน้นเชิงเศรษฐกิจมากกว่า) และยังคงรักษาสถานการณ์ถ่วงดุลมหาอำนาจได้ดี

อีกทั้งหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ก็ไม่ถูกเชิญเช่นกัน แต่หากมองให้แง่ลบ เรื่องนี้ก็ยังคงน่าเป็นห่วง

หากจีนมองไทยด้วยความห่างเหิน และคิดว่าไทยจะเข้าข้างฝั่งตะวันตกมากไป ตรงนี้อาจเป็นปัญหา เพราะยังคงมีความร่วมมือและการลงทุน รวมทั้งความมั่นคงหลายมิติที่ไทยยังคงต้องรักษาสมดุลไว้ให้ดีอยู่.