'แจ็ค หม่า' คัมแบก อาลีบาบา ผู้นำที่ไร้ตำแหน่งแต่ทรงอิทธิพล

'แจ็ค หม่า' คัมแบก ‘อาลีบาบา’ บทบาทผู้นำที่ไร้ตำแหน่งแต่ทรงอิทธิพล ภารกิจกู้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทุ่มสุดตัวในสงครามราคา และกำหนดทิศทาง AI เพื่อนำพาอาณาจักรนี้กลับมาผงาดอีกครั้ง
ย้อนกลับไปในปี 2563 เพียงเพราะคำพูดวิจารณ์ระบบการเงินของจีนไม่กี่คำ ทำให้ชีวิตของ “แจ็ค หม่า” Jack Ma และอาลีบาบาต้องเผชิญกับมรสุมครั้งใหญ่ โดยถูกทางการจีนลงดาบอย่างหนักจนต้องถอนตัวจากแสงสปอตไลท์ไปหลายปี ทำให้มูลค่าของบริษัทลดลงอย่างมหาศาลเกือบ 700,000 ล้านดอลลาร์
การหายตัวไปของแจ็ค หม่าเป็นสัญลักษณ์ของช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของบริษัท พนักงานหลายคนหมดกำลังใจและตั้งตารอ “MAGA” หรือ "Make Alibaba Great Again" (สร้างอาลีบาบาให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง)
แต่เมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ภาพที่แจ็ค หม่า จับมือกับประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ท่ามกลางกลุ่มผู้นำด้านเทคโนโลยีนักวิเคราะห์มองว่านี่คือสัญญาณจากรัฐบาลจีนว่าพวกเขาพร้อมที่จะลดความเข้มงวดลง และเปิดทางให้บรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ได้กลับมาผงาดอีกครั้ง
ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนอย่าง “ดันแคน คลาร์ก” ชี้ว่านี่เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะก่อนหน้านี้บริษัทเทคโนโลยีในจีนแทบจะไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกับผู้นำระดับสูงเช่นนี้เลย การจับมือกันครั้งนี้จึงเหมือนเป็นใบอนุญาตที่ทำให้แจ็ค หม่าสามารถกลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่จีนกำลังเดินหน้าเข้าสู่ “สงครามเทคโนโลยี” และต้องการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ “AI”
ผู้อยู่เบื้องหลัง 'อาลีบาบา’
แม้จะไม่มีตำแหน่งในคณะผู้บริหารอย่างเป็นทางการ แต่ “แจ็ค หม่า” กลับมีอิทธิพลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนนับตั้งแต่ลาออกไปในปี 2562 โดยเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่สำคัญและทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่ AI และสงครามราคา ในตลาดอีคอมเมิร์ซที่ดุเดือด
นอกจากนี้ แจ็ค หม่ายังคอยติดตามความคืบหน้าของโครงการ AI ของบริษัทอย่างใกล้ชิด จนถึงขั้นส่งข้อความหาผู้บริหารระดับสูงหลายครั้งในวันเดียวเพื่อสอบถามความคืบหน้าถึง 3 ครั้งในวันเดียวกัน
จากการปรากฏตัวล่าสุดของแจ็ค หม่าที่สำนักงานใหญ่ของแผนกคลาวด์ของอาลีบาบาเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าการกลับมาของเขาไม่ใช่แค่เพื่อธุรกิจ แต่เพื่อปลุกขวัญและกำลังใจของพนักงาน ที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก เป็นการกลับมาเพื่อรักษา "ประกายไฟ" ในตัวพนักงานทุกคน
จัดทัพผู้บริหารใหม่ ใช้พันธมิตรเดินเกม
แม้แจ็ค หม่าจะกลับมามีบทบาทสำคัญ แต่เขาก็ไม่ได้กุมบังเหียนอาลีบาบาไว้คนเดียว แต่เลือกใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า "การจัดทัพผู้บริหารใหม่" โดยมอบอำนาจให้ทีมผู้บริหารที่เขาไว้วางใจ ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคตของบริษัท
การกลับมาของหม่ามาพร้อมกับการดึงตัวบุคคลสำคัญ 3 คนเข้ามานำทัพ ได้แก่
- เอ็ดดี้ อู๋ (Eddie Wu) ถูกมองว่าเป็นผู้นำถาวรคนต่อไป ด้วยความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ทำให้เขากลายเป็นกำลังหลักในการผลักดันเป้าหมายด้าน AI ของบริษัท
- โจ ไช่ (Joe Tsai) ในฐานะประธานกรรมการ พันธมิตรคนสำคัญของหม่าและเป็นผู้ดูแลกลยุทธ์ในระดับนโยบาย
- เจียง ฟาน (Jiang Fan) ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลอาณาจักรอีคอมเมิร์ซที่ปรับโฉมใหม่ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่กำลังขยายไปทั่วโลก
นักวิเคราะห์อย่าง Vey-Sern Ling จาก Union Bancaire Privée ที่มองว่า "อาลีบาบาอยู่ในมือที่ดีมากแล้ว" การที่บริษัทกลับมามุ่งเน้นที่ เทคโนโลยีและธุรกิจหลัก พร้อมกับการลงทุนอย่างมีวินัย ทำให้บริษัทพร้อมที่จะ "เก็บเกี่ยวผลตอบแทนได้อย่างแท้จริง" ในอนาคตอันใกล้
ภารกิจกู้ ‘อีคอมเมิร์ซ’
แจ็ค หม่าไม่ได้แค่ให้คำปรึกษาเรื่อง AI แต่ยังมีอิทธิพลโดยตรงต่อ “ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรายได้บริษัท เมื่อเห็นส่วนแบ่งตลาดของอาลีบาบาที่ลดลงในปี 2566 เขาได้สนับสนุนให้มีการปลด แดเนียล จาง อดีตซีอีโอ ออกจากตำแหน่ง เพราะมองว่าบริษัทกำลังเดินผิดทาง
ในอดีต อาลีบาบาเคยมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 85% แต่ปัจจุบันสนามแข่งขันเปลี่ยนไปแล้ว ผู้บริโภคชาวจีนต้องการบริการที่รวดเร็วทันใจ ทั้งอาหารสด และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถจัดส่งได้ภายในเวลาอันสั้น ทำให้แพลตฟอร์มอย่าง Meituan และ JD.com กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว
หม่ายังได้โพสต์ข้อความถึงพนักงานเพื่อกระตุ้นให้ทุกคน "ปรับทิศทาง" และยอมรับความเป็นจริงที่ว่าคู่แข่งหน้าใหม่อย่าง PDD Holdings Inc. กำลังจะแซงหน้าอาลีบาบาในด้านมูลค่าตลาด ซึ่งในที่สุดก็เกิดขึ้นจริง นั่นแปลว่าหม่ายังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะเข้ามาก้าวก่ายเพื่อนำพาบริษัทกลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง
ข้อมูลจาก Goldman Sachs ชี้ว่าอาลีบาบาสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดการจัดส่งอาหารกลับมาได้บางส่วน โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 43% ซึ่งตามหลัง Meituan เพียงเล็กน้อยที่ 47% สะท้อนว่าแม้จะไม่ได้ครองตลาดแบบเดิม แต่เถาเป่ายังคงมีศักยภาพในการต่อสู้กับคู่แข่งได้อย่างสูสี
อนาคตบริษัทอยู่ที่ AI
ในการประชุมครั้งนั้น หม่าได้แสดงให้เห็นถึงความสนใจอย่างลึกซึ้งในเทคโนโลยี โดยกล่าวถึงความสำคัญของ แพลตฟอร์มคลาวด์ ชิป T-head และ โมเดล AI Qwen ที่เป็นของอาลีบาบาเอง การที่เขาได้รับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับโครงการ AI เหล่านี้เป็นประจำทุกวัน แสดงให้เห็นว่าเขามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนทิศทางของบริษัท
ถึงแม้ว่าการปลุกชีพธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะเป็นภารกิจเร่งด่วน แต่ เอ็ดดี้ อู๋ ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากหม่ากำลังนำทีมเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือการพัฒนา ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) ซึ่งเป็นอนาคตของอาลีบาบา บริษัทได้ทุ่มเงินกว่า 3.8 แสนล้านหยวน ในช่วง 3 ปีข้างหน้าเพื่อลงทุนใน AI และระบบคลาวด์
แม้ว่าการสร้างรายได้จาก AI จะต้องใช้เวลา แต่รายได้จากคลาวด์ที่เพิ่มขึ้นถึง 26% ในไตรมาสล่าสุดก็เป็นสัญญาณที่ดี ที่ช่วยหนุนให้ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 88% แม้ว่ามูลค่าตลาดปัจจุบันจะยังไม่เท่าเดิม แต่ก็แสดงให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มกลับมาเชื่อมั่นในทิศทางใหม่ของบริษัทแล้ว
บทบาทที่ ‘ไร้ตำแหน่ง’ แต่ทรงอิทธิพล
การปรากฏตัวของหม่าในสำนักงานใหญ่อาลีบาบาทำให้โครงสร้างการทำงานสับสนมากขึ้น เพราะพนักงานหลายคนยังคงมองว่าเขาเป็นผู้ตัดสินใจสูงสุด แม้ว่าเขาจะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการและไม่ได้เข้ามาดูแลรายละเอียดการทำงานในแต่ละวันก็ตาม สถานการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามว่า “ใครคือผู้นำที่แท้จริงของอาลีบาบาในปัจจุบัน?”
ที่ผ่านมา แจ็ค หม่ามักจะเปรียบเทียบชีวิตการเป็นผู้ประกอบการของตัวเองกับเรื่องราวของวีรบุรุษในนวนิยายกำลังภายใน และการกลับมาในครั้งนี้ก็ถูกมองว่าเป็นเหมือนภารกิจสุดท้ายที่จะทวงคืนความยิ่งใหญ่ที่เคยมีมาและเชื่อมั่นว่าจะสามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง Meituan ได้อีกครั้ง
แต่ เฉิน เว่ยซิง ผู้ก่อตั้งแอป Kuaidi Dache กล่าวว่า "เขากำลังใช้ชีวิตอยู่ในภาพลวงตาของศิลปะการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของตัวเอง" เพราะโลกธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก การแข่งขันไม่ได้มีแค่เรื่องราคาหรือความเร็ว แต่ยังรวมถึงเทคโนโลยีและกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่ซับซ้อนกว่าในยุคที่หม่าเคยนำอาลีบาบาให้รุ่งเรือง
สุดท้ายแล้ว การสวมป้ายพนักงานบริษัททุกครั้งที่เข้าบริษัทไม่ใช่แค่การแสดงตัวตน แต่เป็นการกลับมาทำงานเต็มตัว เป็นไปตามที่เขาเคยลั่นวาจาไว้ว่า "ถ้าอาลีบาบาโทรหาผม ผมก็จะอยู่เคียงข้างเสมอ"
การกลับมาของหม่าจึงไม่ได้เป็นแค่ด้านธุรกิจ แต่เป็นทั้งการเติมไฟให้องค์กรและความท้าทายที่จะต้องพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าผู้นำคนนี้จะสามารถนำพาอาลีบาบาให้กลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา และสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐได้หรือไม่
อ้างอิง Bloomberg







