เปิดเส้นทางแฮก ข้อมูลลูกค้าแบรนด์หรู เขย่าทั่ววงการระดับโลก

เหตุโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ เกิดกับ LVMH Chanel Cartier ไปถึง Jaguar Land Rover มุ่งเป้าขโมยข้อมูลลูกค้าแบรนด์ลักชัวรี เขย่าความเชื่อมั่นไปทั่วทั้งวงการ
KEY
POINTS
- Kering ไม่ได้เผยชัดเจนว่าแบรนด์ใดบ้าง ได้รับผลกระทบ หรือมีข้อมูลลูกค้าจำนวนเท่าใดที่ถูกละเมิด แต่บริษัทยืนยันกับลูกค้าว่า ไม่มีการขโมยข้อมูลทางการเงิน บัญชีธนาคาร หรือบัตรเครดิตแต่อย่างใด
- ฐานข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทถูกบุกรุก รวมถึงชื่อลูกค้า อีเมลและที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และจำนวนเงินทั้งหมดที่ใช้จ่ายกับแบรนด์ภายใต้ Kering
- กลุ่มแฮกเกอร์ ที่เรียกตัวเองว่า ชายนี ฮันเตอร์ส อ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ และบอกกับสำนักข่าวบีบีซี ว่าพวกเขามีที่อยู่อีเมลลูกค้าถึง 7.4 ล้านราย
เมื่อเร็วๆ นี้ Kering บริษัทลักชัวรีเจ้าของแบรนด์ดังมากมายของฝรั่งเศส อย่าง Gucci, Saint Laurent, Bottega Veneta, Balenciaga, Alexander McQueen และอื่นๆ ได้ออกมายืนยันว่า ข้อมูลลูกค้าระดับไฮเอนด์หลายล้านคนอาจถูกขโมยไป ในเหตุโจมตีทางไซเบอร์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตามที่สำนักข่าวบีบีซีระบุ
นิตยสารฟอร์บส์รายงานเหตุโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ เกิดกับ LVMH Chanel Cartier ไปถึง Jaguar Land Rover มุ่งเป้าขโมยข้อมูลลูกค้าแบรนด์ลักชัวรี เขย่าความเชื่อมั่นไปทั่วทั้งวงการ
เบื้องหลังโจรกรรมลูกค้าไฮเอนด์
Kering ถือเป็นบริษัทสินค้าลักชัวรีรายล่าสุด ตกเป็นเหยื่ออาชญากรไซเบอร์ที่เพิ่มระดับการโจมตีกับแบรนด์หรู ซึ่งเมื่อต้นปี 2025 LVMH ผู้นำในอุตสาหกรรมยืนยันว่า ข้อมูลลูกค้าของแบรนด์ Louis Vuitton, Christian Dior และ Tiffany ได้ถูกขโมยไป
นอกจากนี้ แฮกเกอร์ยังเข้าถึงข้อมูลลูกค้าของ Chanel ผ่าน Salesforce แพลตฟอร์มลูกค้าสัมพันธ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการภายนอกบริษัท ขณะที่ข้อมูลลูกค้าของ Cartier ซึ่งมี Richemont เป็นเจ้าของก็ถูกบุกรุกและโจมตีเมื่อเดือนมิถุนายน และการผลิตของ Jaguar Land Rover ยังคงปิดไปก่อน เนื่องจากกำลังฟื้นระบบจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่ถูกค้นพบในเดือนกันยายนที่ผ่านมา
สินค้าลักชัวรี เสี่ยงเป็นพิเศษ
ลักษณะเฉพาะของลูกค้าที่แบรนด์หรูให้บริการ เป็นประเด็นที่สำนักข่าวบีบีซีได้ตรวจสอบบันทึกตัวอย่างที่มีชื่อและจำนวนลูกค้าของ Kering ซึ่งใช้จ่ายตั้งแต่ 10,000 - 86,000 ดอลลาร์ ดังนั้นแบรนด์หรูจึงมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์เป็นพิเศษ
อาชญากรไซเบอร์ใช้ข้อมูลลูกค้าแบรนด์หรูอันมีค่านี้ เพื่อสร้างกลลวงทางอ้อม และกรรโชกทรัพย์ ซึ่งข่าวการโจมตีทางไซเบอร์นี้ อาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของแบรนด์หรูชั้นนำที่สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยการอาศัยความไว้วางใจและความพิเศษเฉพาะ
Kering ไม่ได้เปิดเผยอย่างชัดเจนว่า แบรนด์ใดบ้าง ได้รับผลกระทบ หรือมีข้อมูลลูกค้าจำนวนเท่าใดที่ถูกละเมิด แต่บริษัทยืนยันกับลูกค้าว่า ไม่มีการขโมยข้อมูลทางการเงิน บัญชีธนาคาร หรือบัตรเครดิตแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ฐานข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทถูกบุกรุก รวมถึงชื่อลูกค้า อีเมลและที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และจำนวนเงินทั้งหมดที่ใช้จ่ายกับแบรนด์ภายใต้ Kering
ความเสี่ยงทางเทคโนโลยี
รายงานการศึกษาของ Bain ร่วมกับ Comité Colbert ระบุว่า แม้แบรนด์หรูจะทุ่มลงทุนด้านเทคโนโลยีมากขึ้น แต่การจัดสรรเงินลงทุนใหม่เพื่อริเริ่มการเปลี่ยนแปลงกับเอื้อประโยชน์ลูกค้าราว 40% และลงทุนด้านเทคโนโลยีระดับองค์กร เช่น ความปลอดภัยทางไซเบอร์ แต่กลับเอื้อประโยชน์ต่อผู้บริโภคน้อยกว่า 21%
แบรนด์หรูยังจัดสรรการลงทุนด้านเทคโนโลยี “การเปลี่ยนแปลง” ให้กับผู้จำหน่ายในสัดส่วนที่สูงกว่า 68% ซึ่งสามารถเปิดช่องโหว่ให้แฮกเกอร์เข้าสู่ระบบภายในได้ ลูคา ไดโอเมเด และโจแอล เดอ มงต์กอลฟิเยร์ ผู้เขียนรายงานระบุว่า ประธานฝ่ายสารสนเทศ หรือซีไอโอของแบรนด์สินค้าหรูให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางไซเบอร์มากกว่าซีอีโอ
“สิ่งสำคัญในตอนนี้คือ การทำให้มั่นใจว่า ซีไอโอ และซีอีโอทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การพิจารณาเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ถูกประกอบเข้ากับการตัดสินใจ เชิงกลยุทธ์ของบริษัทอย่างครบถ้วน” ในรายงานระบุ
“ความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของสินค้าลักชัวรี ซึ่งการคุกคามทางธุรกิจ และชื่อเสียงของแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การทำข้อมูลสูญหาย” ซีไอโอของแบรนด์หรูกล่าวไว้ในรายงาน “ลักชัวรี และเทคโนโลยี” ของ Bain
โจมตีไซเบอร์ Kering ช่วงเผชิญยอดขายตก
กลุ่มแฮกเกอร์ ที่เรียกตัวเองว่า ชายนี ฮันเตอร์ส (Shiny Hunters) อ้างความรับผิดชอบต่อการละเมิดครั้งนี้ และบอกกับสำนักข่าวบีบีซี ว่าพวกเขามีที่อยู่อีเมลลูกค้าถึง 7.4 ล้านราย
การโจมตีทางไซเบอร์ต่อ Kering ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดสำหรับ Kering ขณะที่อุตสาหกรรมสินค้าหรูหรากำลังเตรียมรับมือกับยอดขายที่ลดลง 2% - 5%
ในปีนี้ Kering เพิ่งรายงานว่ายอดขายลดลง 16% เหลือ 9 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7.6 พันล้านยูโร ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 หลังจากที่ยอดขายลดลง 12% เหลือ 20.4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 17.2 พันล้านยูโร ในปีที่แล้ว
อ้างอิง Forbes







